Monday, May 20, 2013

เมืองสามหมอกในฤดูฝนโปรย



   ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ฉันยังคงหลงรักเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งทางภาคเหนือที่ฉันถนัดจะเรียกว่า เมืองสามหมอก หรือจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั่นเอง...

   หากเอ่ยถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอน ใครต่อใครก็มักจะนึกถึงอำเภอปาย เพราะชื่อเสียงของอำเภอปายนั้นกระฉ่อนไปทั่วหัวระแหงของแผ่นดินไทยและไม่เฉพาะภายในประเทศเท่านั้นแต่ดังไกลไปถึงต่างประเทศ ฉันจึงไม่แปลกใจนักเวลาที่ได้คุยกับใครก็ตามเกี่ยวกับแม่ฮ่องสอน ทุกคนก็จะเอ่ยถึงเมืองเล็กๆ นามว่า ปายมากกว่าอำเภออื่นๆ ในจังหวัดชายแดนแห่งนี้

   สำหรับฉันแล้วเมืองสามหมอกก็คือทุกอำเภอในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ไม่ว่าจะเป็นอำเภอปาย อำเภอเมือง อำเภอขุนยวม อำเภอแม่สะเรียง อำเภอแม่ลาน้อย อำเภอสบเมย และอำเภอปางมะผ้า ฉันว่าทุกเมืองที่เอ่ยถึงนี้ล้วนมีเสน่ห์เป็นของตัวเอง อย่างปายก็คือเมืองสำหรับหนุ่มสาวที่รักบรรยากาศชิลๆ ยามค่ำคืน ปางมะผ้า (มะผ้าเป็นคำท้องถิ่นแปลว่า มะนาว) ขึ้นชื่อเรื่องถ้ำ พวกฝรั่งเรียกอำเภอนี้ว่า สบป่อง สำหรับอำเภอเมืองนั้นก็มีเสน่ห์ของวัฒนธรรมและแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อก็คือ ปางอุ๋ง ฉันเรียกขานเสียใหม่ว่า ทะเลสาบแห่งเทพนิยาย ส่วนอำเภอขุนยวมนั้นเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักการท่องเที่ยวเชิง Ecotourism หรือเชิงนิเวศน์ ฉันประทับใจ Homestay ที่หมู่บ้านต่อแพเพราะที่นี่รวบรวมวิถีชีวิตคนไทยใหญ่ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนไว้ได้มากที่สุด นักท่องเที่ยวที่มาพักที่นี่จะได้เรียนรู้ถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในแม่ฮ่องสอนได้อย่างเต็มที่ และอีกสามอำเภอที่เหลือได้แก่ อำเภอแม่สะเรียง อำเภอแม่ลาน้อย และอำเภอสบเมยนั้นก็มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่น่าไปเที่ยวค้นหาไม่แพ้ที่ไหน โดยเฉพาะที่ถ้ำแก้วโกมลซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นถ้ำที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในถ้ำผลึกแร่แคลไซต์ที่ค้นพบเพียง 3 แห่งทั่วโลก คือพบที่ประเทศจีน ประเทศออสเตรเลีย และประเทศไทย และอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญคือแม่น้ำสาละวินแม่น้ำสายที่ยาวเป็นอันดัลที่ 26 ของโลกและถือเป็นแม่น้ำนานาชาติที่ใหญ่และมีความสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากแม่น้ำโขง


   ในฤดุฝนที่ชอุ่มเขียว มีเม็ดฝนโปรยกลบความเหงา การได้มาท่องเที่ยวในเมืองเล็กๆ ที่ไหนสักแห่ง ในบรรยากาศที่ไม่วุ่นวายเหมือนเช่นฤดูหนาว ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการเดินทางที่น่าค้นหาและน่าสัมผัสไม่น้อย

แดนดิน
บันทึก ณ สามหมอกเกสท์เฮ้าส์, แม่ฮ่องสอน

Saturday, May 18, 2013

เชียงคาน – เลย – ภูเรือ – ลำปาง กับความประทับใจที่ไม่มีวันลืม


เชียงคาน เลย ภูเรือ ลำปาง กับความประทับใจที่ไม่มีวันลืม



     เช้าวันสุดท้ายก่อนเดินทางออกจากเชียงคาน ฉันตื่นแต่เช้าก่อนตีห้าครึ่งเพราะบอกกับน้องที่ประจำเกสท์เฮ้าส์ว่าจะใส่บาตรในตอนเช้า ซึ่งทางเกสท์เฮ้าส์มีบริการจัดชุดใส่บาตรให้ ชุดละ 50 บาท หนึ่งชุดก็ประกอบไปด้วยข้าวเหนียวหนึ่งกระติ๊บและขนมขบเคี้ยวอีกประมาณ 8-9 ชิ้น ฉันรีบตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเปิดประตูออกไปสูดอากาศยามเช้าที่ใกล้สางตรงระเบียง แลเห็นสายน้ำโขงอยู่ลางๆ ลมพัดโบกมาเบาๆ รู้สึกเย็นสดชื่นไม่น้อย...ฉันสูดอากาศเข้าเต็มปอด นานแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ได้สัมผัสอากาศดีๆ เช่นนี้...

   ฉันรีบเดินมาตรงล็อบบี้ของเกสท์เฮ้าส์ เห็นเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังตื่นและลุกขึ้นพับเก็บที่นอน เขาถามฉันว่าทำไมตื่นเช้าจัง ฉันก็ตอบไปว่าอยากตื่นขึ้นมาสูดอากาศยามเช้าและกลัวจะไม่ทันใส่บาตรพระ...จากนั้นฉันก็เดินออกไปหน้าโรงแรม ตรงถนนคนเดิน เห็นนักท่องเที่ยวบางส่วนและเจ้าของร้านและเกสท์เฮ้าส์แถวนั้นกำลังปูเสื่อบนพื้นถนนและมีจัดเตรียมข้าวปลาอาหารสำหรับใส่บาตรพระกันแล้ว ระหว่างที่ยืนถ่ายรูปอยู่นั้นเด็กหนุ่มก็เอาเสื่อออกมาปูให้ฉันพร้อมด้วยชุดใส่บาตรตามที่ฉันแจ้งไว้แต่เมื่อคืน ขณะกำลังจะนั่งลงบนเสื่อก็มีหญิงสาวปั่นจักรยานผ่านมาแล้วยื่นดอกไม้ให้ฉัน บอกว่าชุดละสิบบาทเท่านั้น ฉันไม่ลังเลใจรับมาทันทีพร้อมยื่นเหรียญสิบให้หญิงสาวชาวบ้านคนนั้น พอนางปั่นจากไปก็มีหญิงสูงวัยอีกคนปั่นจักรยานตรงมาที่ฉันแล้วก็หยุดกึกตรงหน้าพร้อมยื่นหมูปิ้งให้ฉันแล้วบอกว่า  10 ถุง 100 บาท ฉันอึ้งไปนิด นี่ลงถ้าฉันซื้ออีกจะมีใครปั่นจักรยานมาขายอะไรให้ฉันอีก แต่ด้วยความสงสารฉันก็รับมา 5 ถุงแล้วบอกไปว่าฉันมีขนมอยู่แล้ว จากนั้นก็หยิบแบ้งค์ 50 ยื่นให้หญิงสูงวัยคนนั้น ก่อนจากกันหญิงคนนั้นก็แนะนำฉันว่าเวลาหยิบ (โจก) ข้าวเหนียวใส่บาตรพระอย่าบีบข้าวเหนียวให้หยิบขึ้นมาพอคำแล้วก็ใส่ลงไปในบาตรเลย ฉันยิ้มรับพร้อมเอ่ยขอบคุณ นี่เป็นอีกเช้าที่ฉันสัมผัสถึงมิตรภาพของผู้คนในชนบท...การใส่บาตรเช้านี้ทำให้ฉันนึกถึงครั้นเดินทางไปหลวงพระบางเมื่อหลายปีก่อน ครั้งนั้นเป็นประสบการณ์แรกที่ฉันได้ใส่บาตรในดินแดนอื่น ผู้คนมากมายยืนเรียงรายสองข้างถนนและมีพระเณรเดินเป็นแถวเป็นแนวตามกันมา ฉันรู้สึกอิ่มเอิบเบิกบานใจอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน...

   หลังจากใส่บาตร ฉันก็ปั่นจักรยานไปที่สวนสุขภาพเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น เห็นหลายคนมาวิ่งออกกำลังกาย ส่วนอีกฟากฝั่งหนึ่งของแม่น้ำโขงนั้น ก็มีการเปิดเสียงตามสายแจ้งข่าวคราวความเป็นไปของสังคมในหมู่บ้าน ลมเย็นพัดมาเรื่อยเอื่อย เรือชาวบ้านวิ่งไปตามผืนน้ำเป็นภาพที่ตราตรึงใจยิ่งนัก...เช้าวันนั้นก็มีรถสามล้อสะกายแล็บมารับฉันที่เกสท์เฮ้าส์เพื่อไปส่งที่ท่ารถของบริษัทฯ หนึ่ง ฉันกำลังจะเดินทางต่อไปยังถนนคนเดินกาดกองต้า จังหวัดลำปาง ตามที่หนุ่มติสท์แห่งร้าน Arts & Gallery คนนั้นแนะนำ...ฉันโบกมือลาเด็กหนุ่มประจำเกสท์เฮ้าส์พร้อมสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมใหม่อีกครั้งในฤดูหนาวปีนี้....

ระหว่างเส้นทางสู่ลำปางหนาวจัง

     ฉันนั่งรถมาลงที่ตัวอำเภอเมืองเลยเพื่อจะต่อรถไปยังลำปาง แต่เมื่อมาถึงที่บขส. เลย ฉันก็ต้องหัวเสียเพราะไม่มีรถไปเชียงใหม่ในเช้าวันนี้ (ทางเกสท์เฮ้าส์บอกฉันว่ามีรถวิ่งไปเชียงใหม่ตอนสิบโมงเช้าซึ่งรถเที่ยวดังกล่าวจะแวะจอดที่ลำปางด้วย) เมื่อการเดินทางไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ฉันจำใจนั่งรถไปลงที่พิษณุโลกแล้วต่อรถขึ้นไปที่ลำปางแทนและเช้าวันนั้นฉันก็ต้องยืนอยู่บนรถจนถึงภูเรือเพราะเป็นรถป. 2 ที่มีผู้โดยสารหนาแน่น หนทางจากเลยสู่ภูเรือนั้นเป็นถนนคดเคี้ยว ขึ้นเขาลงเขา ไม่แพ้ถนนสายเชียงใหม่ ปาย แม่ฮ่องสอนเลยทีเดียว...ฉันพบว่าวิวทิวทัศน์ระหว่างสองข้างทางนั้นสวยงามยิ่งนัก โดยเฉพาะที่ภูเรือจะมีสวนแปลงดอกไม้มากมาย สีสันของพันธุ์ไม้ช่างตราตรึงใจยิ่งนัก และเมื่อผ่านอำเภอด่านซ้ายก็มีการประดับประดาหน้ากากผีตาโขนตามบ้านเรือนและสำนักงานต่างๆ เพื่อต้อนรับเทศกาลผีตาโขนที่จะจัดขึ้นในเดือนกรกฏาคมนี้ ซึ่งถ้าฉันมีเวลาพอในช่วงนั้นก็จะไม่พลาดที่จะมาสัมผัสงานประเพณีนี้อย่างแน่นอน

   รถวิ่งมาถึงจังหวัดพิษณุโลกเมื่อเวลาบ่ายสองกว่า รถจอดเทียบท่าที่บขส.ใหม่ซึ่งสวยงามอลังการไม่น้อยเลยทีเดียว ฉันนั่งรถปอสองต่อไปลำปางและมาถึงเมืองรถม้าเมื่อเวลาเกือบสองทุ่ม จากนั้นก็นั่งรถสองแถวมาที่เกสท์เฮ้าส์แห่งหนึ่งย่านถนนคนเดิน กาดกองต้า...เมื่อถึงที่พักก็รีบอาบน้ำแล้วเข้านอนด้วยความอ่อนล้า...

กาดกองต้า ถนนคนเดินสุดคลาสิคแห่งเขลางค์นคร


เย็นวันนี้ฉันเดินสำรวจถนนคนเดินที่ลำปางซึ่งรู้จักกันดีว่า กาดกองต้า เสน่ห์ของถนนคนเดินที่นี่คือบ้านไม้สองชั้นในอดีตที่ยังหลงเหลือสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนอยู่บ้าง แต่ที่ฉันประทับใจไม่น้อยไปกว่าความงดงามของเมืองลำปางคือหญิงสาวชาวเหนือที่ต้องยอมรับจากก้นบึ้งหัวใจเลยว่า น่ารักไม่แพ้หญิงสาวที่ไหนในโลกนี้เลยทีเดียว...


คืนนี้นั่งฟังเพลงทอดอารมณ์อยู่ตรง Lobby ติดริมน้ำของเกสท์เฮ้าส์ พรุ่งนี้เช้า ฉันก็ต้องออกเดินทางสู่เมืองสามหมอกอีกครั้ง...

แดนดิน
บันทึก ณ รีเวอร์ไซด์เกสท์เฮ้าส์ ย่านกาดกองต้า ลำปาง

Thursday, May 16, 2013

เชียงคานในวันที่เงียบสงบแต่ไม่เงียบเหงา



   
 
      เชียงคานเมืองเล็กๆ ริมฝั่งโขง ทางภาคอีสานตอนบนยังคงเงียบสงบและคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวดุจเช่นวันวาน แต่เชียงคานในช่วงฤดูฝนนั้นพิเศษกว่าช่วงฤดูไหนเพราะไม่วุ่นวายและพลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยวเหมือนเช่นฤดูหนาวที่กล่าวกันว่ามีผู้มาเยือนเฉลี่ยวันละเกือบหนึ่งแสนคน...




     ฉันสะพายเป้ใบเขื่องขึ้นรถเมล์สายโคราช – เชียงคานเมื่อเวลา 10:00 น. ด้วยราคาตั๋วสองร้อยกว่าบาท รถวิ่งด้วยความเร็วมาตรฐานและแวะจอดตามท่ารถสำคัญกว่าจะเดินทางถึงเชียงคานก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสามแล้ว ฉันนั่งรถสามล้อสะกายแล็บ, แท็กซี่ขึ้นชื่อของหลายจังหวัดในภาคอีสาน คนขับเป็นลุงแก่ๆ คนหนึ่ง ตะแกยิ้มยิงฟันทันทีที่เห็นฉันก้าวลงจากรถเมล์และเอ่ยทักทายต้อนรับสู่เชียงคานราวฉันเป็นแขกคนสำคัญ จากนั้นแกก็ขับพาฉันมาส่งที่เกสท์เฮ้าส์แห่งหนึ่งย่านถนนคนเดินและตั้งติดริมฝั่งแม่น้ำโขง ฉันจ่ายแกไป 30 บาทและบอกแกให้มารับในวันรุ่งเช้า แกยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่มีเบอร์โทรและชื่อแกอยู่ให้ฉัน จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณแล้วก็บึ่งรถจากไป ส่วนฉันก็เดินตรงมาที่เกสท์เฮ้าส์ที่เป็นบ้านไม้สองชั้น พอก้าวเท้าเข้าสู่เกสท์เฮ้าส์ ก็พบเจอเด็กหนุ่มตัวเล็กคนหนึ่งยืนอยู่ตรงเคาเตอร์ ฉันเอ่ยถามถึงห้องพักและราคา พอได้คำตอบก็อ้อนขอต่อราคาจนเด็กหนุ่มคนนั้นต้องโทรถามเจ้าของเกสท์เฮ้าส์ว่ายินดีให้ฉันเข้าพักในราคาที่ฉันเสนอหรือไม่ คุยกันได้สักพัก เด็กหนุ่มก็ส่ายหัวจนฉันต้องยอมจ่ายในราคาที่ลดมานิดหนึ่ง แต่ก็พอรับได้กับห้องแอร์ที่มีไวไฟอินเทอร์เน็ตพร้อมวิวแม่น้ำ และที่สำคัญมีจักรยานให้ยืมฟรีและกาแฟไว้คอยบริการด้วย...


            



                           


       บ่ายวันนั้นฉันปั่นจักรยานไปตามถนนคนเดินและลัดเลาะไปตามริมฝั่งแม่น้ำโขง แวะทานข้าวปุ้นหรือสลัดวุ้นเส้น ซึ่งฉันต้องปรุงรสเอง รสชาตออกมาจึงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ ระหว่างที่ปั่นจักรยานอยู่นั้น ก็มีขบวนแห่ผ่านมา สอบถามคนแถวนั้นก็ทราบว่าเป็นงานบุญประจำปีของวัดแห่งหนึ่งในย่านนั้น ตกเย็นวันนั้นฉันก็ไปนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินตรงสวนสุขภาพและฟังเพลงขับกล่อมเบาๆ โดยหนุ่มนักร้องเพื่อชีวิตคนหนึ่ง ลมพัดเย็นระรื่น พระอาทิตย์กำลังลับเหลี่ยมภูผา สายน้ำโขงพริ้วระริกและมีเรือของชาวบ้านทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาขับล่องไปตามสายน้ำแห่งนั้น ช่างเป็นภาพที่สะกดฉันให้ยืนนิ่งมองด้วยความมหัศจรรย์...
             

        คืนนั้นฉันเดินไปตามถนนคนเดินที่ไม่พลุกพล่านและวุ่นวาย ฉันมาสะดุดอยู่ตรงร้าน Arts & Gallery แห่งหนึ่งที่มีหนุ่มผมยาวแต่งตัวเซอร์นั่งง่วนทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ฉันเอ่ยทักทายและขออนุญาตเดินเข้าไปชมภาพถ่ายที่แขวนประดับไว้ในร้านและโปสการ์ดที่วางขายอยู่ตรงชั้น หนุ่มคนนั้นเป็นนักถ่ายรูปมืออาชีพ เคยทำงานให้กับนิตยสารท่องเที่ยวหลายฉบับ อาทิ อสท เป็นต้น เขาดั้นด้นออกค้นหาชีวิตจนมาลงหลักปักฐานที่เมืองเล็กๆ ริมฝั่งโขงนามเชียงคานแห่งนี้พร้อมคู่รักที่รักการท่องเที่ยวและงานศิลปะไม่แพ้กัน...ฉันพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับหนุ่มติสท์คนนั้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนไปของเมืองเฉกเช่นที่เกิดขึ้นกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ของเมืองไทย เขาบอกว่า ‘แม่น้ำต้องมีแก่ง’ ทุกหนแห่งย่อมเปลี่ยนไปตามกระแสแห่งค่านิยม ฉันได้รับแรงบันดาลใจมากมายจากศิลปินหนุ่มคนนั้น เขาแนะนำให้ฉันเดินทางต่อไปที่ลำปางเพื่อเยี่ยมชมถนนคนเดินและเกสท์เฮ้าส์ของที่นั่นซึ่งเขาบอกว่า สวยงามประทับใจไม่น้อย ฉันยิ้มรับพร้อมขอให้เขาเขียนชื่อของถนนเส้นนั้นลงในกระดาษให้ฉัน จากนั้นก็ยื่นค่าโปสการ์ดแล้วเอ่ยคำลา...



ค่ำคืนนี้ ณ เชียงคาน อาจดูเงียบสงบแต่ไม่เคยเงียบเหงาสำหรับฉันเลย

แดนดิน

บันทึก ณ เชียงคาน

16 พฤษภาคม 2556

Monday, May 6, 2013

บันทึกทางอารมณ์...ในวันที่เหนื่อยล้า


     

     วันนี้มีเรื่องราวมากมายที่ทำให้ฉันรู้สึกเหนื่อยล้าและได้ข้อคิดเตือนใจอยู่ไม่น้อย สิ่งแรกเลยนั้นคือแรงบันดาลใจ ยามใดที่ขาดสิ่งนี้ พลังความคิดของฉันเหมือนจะหยุดหาย ฉันอยากออกเดินทางเพื่อไปตักตวงหาแรงบันดาลใจที่ไหนสักแห่ง นี่แหละกระมังที่ทำให้วันนี้ของฉันเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายและอ่อนล้า...ฉันต้องการแรงบันดาลใจจากที่ไหนสักที่หรือจากใครสักคน

     วันนี้เด็กสาวคนนั้น...ได้เล่าเรื่องหนึ่งให้ฉันฟังผ่าน Line Application เกี่ยวกับตาแกคนหนึ่งที่ดูใจดีและน่าเคารพแต่ท้ายสุดนั้นกลับแสดงความเลวทรามออกมายามลับหลัง....ฉันศรัทธาในเด็กสาวคนนี้และฉันขอสาบส่งเฒ่าตัณหากลับคนนั้นให้ถึงที่สุด

     วันนี้...ฉันสัมผัสถึงความรู้สึกแปลก ๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับฉันในวันวานและความรู้สึกนี้ละม้ายคล้ายกันจนฉันแปลกใจเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลาดังกล่าวอีกครั้ง...มันละม้ายคล้ายกันราวฉันกำลังฝันไป

     โลกใบนี้แปลกที่สร้างแต่ละสิ่งขึ้นมาด้วยคุณค่าที่ต่างกัน...และก็เติมเต็มกันและกันได้อย่างลงตัว

     คืนนี้ฉันขอนอนแต่หัวค่ำ...ฟังเสียงเพลงขับกล่อม...แล้วขอล่องลอยสู่ความฝัน เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิม

แดนดิน
6 พฤษภาคม 2556

Wednesday, May 1, 2013

โลกของเด็กหญิงคนหนึ่งกับแรงบันดาลใจของนายแดนดิน


     

     ผมว่าแรงบันดาลใจเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดวิวัฒนาการบนโลกใบนี้ การเขียนหนังสือก็เช่นกันถ้าคุณไม่มีแรงบันดาลใจมันก็ยากจะสำเร็จ ช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมมัวแต่ยุ่งกับการงานจนหลงลืมงานเขียนไปเสียสนิท ทั้งๆ ที่สิ่งนี้เป็นความฝันของผมมาตั้งแต่เด็ก ผมเข้าใจดีว่างานเขียนถ้าไม่ดังพอก็ไม่มีทางจะขายได้ และนักเขียนหรือศิลปินส่วนใหญ่ (ที่ยังไม่ดัง) จึงต้องมีรายได้ทางอื่นเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตให้สามารถรังสรรค์งานศิลปะต่อไป...

     ในช่วงที่ผ่านมา หลังจากกลับสู่โหมดพนักงานออฟฟิตอีกครั้ง ผมก็มีมุมมองการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปและพยายามค้นหาแรงบันดาลใจอยู่เสมอมา และเมื่อไม่นานมานี้ ผมก็ได้พบและได้เรียนรู้เรื่องราวชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งทำให้ผมเริ่มกลับมาเขียนบันทึกอีกครั้งหลังจากหยุดไปประมาณสามเดือน

     เธอเป็นนักดนตรีไทย เล่นตามร้านอาหาร โรงแรม และตามงานต่างๆ แม่เธอเสียเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว พ่อไปมีหญิงใหม่ ส่วนเธอต้องใช้ชีวิตลำพังอยู่ในเมืองหลวง เธอมีเสน่ห์ เก่ง และเฉลียว และผมสัมผัสได้ถึงความเข้มแข็งและความหยิ่งในศักดิ์ศรีของเธอ

     เด็กสาวคนนี้ไม่ได้ใช้สิ่งที่ขาดหายหรือปมด้อยเป็นเหตุผลให้เธอต้องใช้ชีวิตในมุมมืด แต่เธอกลับใช้เป็นแรงผลักดันให้เธอก้าวไปสู่จุดหมายและปลายทางที่เธอฝัน ผมไม่ได้ชื่นชมเธอเพราะความน่ารัก แต่ผมศรัทธาเธอในความเด็ดเดี่ยวของลูกผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เธอซุกซ่อนอยู่ข้างในต่างหาก

      ในความเป็นจริงของชีวิต โลกไม่ได้โหดร้ายอย่างที่เราอ้าง โลกใบนี้สวยงามเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองโลกในมุมไหนของชีวิต เด็กสาวคนนี้ทำให้ผมอยากเขียนหนังสืออีกครั้ง และผมก็อยากจะรู้จักเธอให้มากขึ้นกว่านี้  เธอทำให้ผมมองโลกสวยขึ้นทุกๆ วัน

แดนดิน

1 พฤษภาคม 2556