ผมนอนหงายมือทาบอกทั้งสองข้าง ปล่อยความคิดไหลไปเรื่อยเปื่อยอย่างคนบ้า ความเงียบคลอบคลุมไปทั่วบริเวณ เงียบจนได้ยินเสียงลมหนาวพัดพรูหวิดหวิว ความเงียบและความฟุ้งซ่านทำให้ผมมิอาจข่มตาหลับได้และยิ่งทับถมความวุ่นวายในใจให้มากยิ่งขึ้น ผมจึงหันข้างไปทางเต๊นท์ของหญิงสาวแล้วเอ่ยถามชวนคุยเธอต่างๆ นานา จวบจนเธอหลับไป....สำหรับผมแล้วความรักมีอิทธิพลสูงกว่ากามารมณ์ แต่ถึงกระนั้นการพบกันเพียงไม่กี่วันผมควรจะเรียกว่า 'รัก' ได้อย่างไร ความรักมันเกิดขึ้นได้เพียงเวลาสั้นๆ เท่านั้นหรือ ถ้านี่ไม่ใช่ความรักผมควรจะเรียกอาการเช่นนี้อย่างไรดี นั่นคือปมที่ขมวดอยู่ในห้วงความคิดแห่งรัติกาลของสายลมหนาว....
ผมไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน ตื่นขึ้นมาอีกทีตอนได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกตอน 6 โมงเช้า ผมสลัดผ้าห่มไปกองตรงปลายเท้าก่อนรีบควานหาไฟฉายข้างกายเพื่อเปิดค้นหาผ้าเช็ดตัวกับ ชุดทำความสะอาดฟัน (ผมเรียกมันเช่นนั้น) แล้วเปิดซิบเต๊นท์นอนออกมาสูดอากาศยามเช้าที่ยังสลัวและขมุกขมัวด้วยม่านหมอกขาวโพลน หญิงสาวในเต๊นท์ข้างๆ ส่งเสียงงัวเงียออกมาจากเต๊นท์ถามว่ากี่โมงแล้ว ผมอยากให้เธอรีบลุกขึ้นมาเร็วไวก็รีบตอบกลับไปว่าสายแล้ว หมอกกำลังสวยได้ที่ให้รีบลุกมาถ่ายรูปกัน ผ่านไปสักพักเธอก็ออกมาจากเต๊นท์นอน ผมเห็นเข้าก็ส่งยิ้มให้ เธอดูขัดเขินเล็กน้อยก่อนเอ่ยทักทายสวัสดียามเช้าแล้วส่งเสียงตะลึงงันกับภาพของหมอกที่ลอยระเรี่ยเหนือผิวน้ำและโอบล้อมเราไว้ทุกทิศ
เช้านั้นเราถ่ายรูปบรรยากาศปางอุ๋งที่อบอวลด้วยไอหมอกท่ามกลางป่าสนสองใบที่พลิ้วไหวไปตามสายลมหนาว เราสองเดินจากมุมนี้ไปมุมโน้น จากฟากฝั่งหนึ่งไปสู่ฟากฝั่งที่ไกลออกไป เธอขอให้ผมถ่ายรูปของเธอโดยจัดฉากให้ตัวเธอเดินไปบนถนนเส้นเล็กๆ ที่มีหมอกกลุ่มหนึ่งเป็นกำแพงอยู่ด้านหลังและด้านข้างก็เป็นผืนน้ำที่มีละไอหมอกพรั่งพรูขึ้นมาและเธอก็เรียกมันว่า 'เส้นทางสู่ดินแดนแห่งมนตรา (Wonderful Land)' สักพักก็มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินผ่านมาเธอจึงขอให้เด็กหนุ่มคนนั้นถ่ายรูปเราสองคน...เรือนผมของเธอสัมผัสตรงไหล่ของผม กลิ่นหอมจากปอยผมของคนที่ยืนชิดอยู่ข้างๆ ก็วิ่งเป็นเส้นเป็นสายเข้าไปในจมูกทั้งสองรูของผมแล้วเข้าไปปั่นป่วนในใจของผมให้อยากโอบกอดเรือนร่างของหญิงสาวข้างๆ มากยิ่งขึ้น ให้ดิ้นตายเหอะ...ผมกำลังจะกลายเป็นพันธุ์หมาบ้าไปเสียแล้ว.....
อ่านตอนที่ 1 http://watdocumentaries.blogspot.com/2012_11_23_archive.html
No comments:
Post a Comment