Saturday, November 24, 2012
บันทึกห้วงอารมณ์แห่งความคิดถึง (ตอนจบ)
เที่ยงวันนั้นเราสองคนไปทานอาหารจีนยูนนานที่หมู่บ้านรักไทยซึ่งอยู่ห่างจากปางอุ๋งประมาณ 7 กิโลเมตร ก่อนจะขับมอเตอร์ไซด์มุ่งหน้าสู่อำเภอปาย ดินแดนแห่งรัก
ด้วยระยะทาง 111 กิโลเมตรจากอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนสู่อำเภอปาย ถนนคดเคี้ยวไปตามไหล่เขาราวงูที่กำลังเลื้อยไปมา นี่เป็นครั้งแรกของผมที่ได้ขับมอเตอร์ไซด์ด้วยระยะทางที่ไกลที่สุด ระหว่างทางผมแอบมองเธอผ่านกระจกอยู่บ่อยครั้ง ตลอดระยะเวลาสองชั่วโมงของการขับรถบนถนนที่โหดที่สุดเส้นหนึ่งของเมืองไทย ผมเต็มไปด้วยความสุขและความหวังใหม่
ที่อำเภอปายเธอพาผมเข้าไปสอบถามราคาห้องพักที่เกสท์เฮ้าส์เล็กๆ ริมฝั่งน้ำปายแห่งหนึ่ง เจ้าของเป็นชายหนุ่มผมยาว ตัวผอมกะหร่องราวพวกติสท์แตก เธอเอ่ยถามห้องพักเป็นภาษาอังกฤษก่อนจะเดินไปดูห้องและมีการต่อรองราคากันเกิดขึ้น เธอบอกผมเสมอว่าคนจีนชอบต่อราคาและเธอก็สนุกกับการได้เล่นเกมนี้ แต่สำหรับเกมนี้ชายหนุ่มคนนั้นกลับไม่ยอมแพ้ลดราคาห้องให้และเสนอให้ไปดูอีกห้องหนึ่งในราคาที่ถูกกว่า ระหว่างเดินชมห้องอยู่นั้น หนุ่มผมยาวเจ้าของเกสท์เฮ้าส์เอ่ยถามผมว่า 'แฟนน้องเค้าจะชอบหรือเปล่า' ผมรู้สึกหัวใจพองโตและคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยด้วยความกระหยิ่มใจที่ใครหลายคนต่างก็มองว่าเราเป็นคู่รักกัน ผมก็แสร้งตอบไปว่า 'ไม่แน่ใจครับพี่' จากนั้นผมก็หันไปมองหน้าสาวหมวยคนนั้นเพื่อขอคำตอบและเธอก็บอกว่าจะพาผมไปดูรีสอร์ทที่เคยพักก่อนเดินทางไปที่ปาย
เราขับมอเตอร์ไซด์ออกมาจากตัวเมืองอีกเล็กน้อยและก็ขับไปจอดที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งบนเนินเขา รีสอร์ทแห่งนั้นแบ่งห้องพักออกเป็นสองส่วนในราคาที่ต่างกัน ในส่วนที่ห้องราคาถูกนั้นมีคนเข้าพักเต็มหมดแล้วเหลือเพียงห้องพักราคา 700 บาทเท่านั้น และดูเหมือนเธอจะชอบที่นี่ไม่น้อยจึงทำให้หญิงสาวแบ็กแพ็คเกอร์คนนี้ตัดสินใจต่อราคาจนผู้ดูแลรีสอร์ทอ่อนใจลดเหลือเพียงห้องละ 400 บาทและเธอก็ถามผมว่า
'คุณพอใจกับห้องนี้มั้ย เดี๋ยวเราแชร์ก้น' ให้ดิ้นตายเหอะ การได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังจะไม่ให้ผมพอใจได้เชียวหรือ ผมก็ตอบเธอไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างมาดผู้ดี
เราเข้าพักห้องดังกล่าว เป็นห้องใหญ่ พักได้สามคน เมื่อเก็บกระเป๋าเข้าที่แล้วเราก็ขับมอเตอร์ไซด์เข้าไปในตัวเมืองเพื่อจะเอามอเตอร์ไซด์ของเธอไปคืนที่ร้านเช่ามอเตอร์ไซด์ชื่อดังของเมืองนี้ พอธุระทั้งหมดเสร็จสรรพเราก็เดินเล่นไปตามถนนคนเดิน...
ปายเป็นเมืองเล็กๆ ที่เหมาะกับนักเดินทางสะพายเป้มากที่สุด เมืองเล็กๆ แห่งนี้ดูสงบในตอนกลางวันและครึกครื้นเมื่อตะวันลับเหลี่ยมภูเขาและความมืดเข้ามาเยือน ระหว่างที่เดินกันอยู่นั้นนักเดินทางสาวชาวจีนคนนี้ก็ได้พบกันเพื่อนของเธอคนหนึ่งที่เจอกันที่ปายในวันแรกที่เธอมาพักที่นี่ เพื่อนเธอคนนี้ก็เดินทางมาที่ปายเพียงลำพังและพักอยู่ที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้สองอาทิตย์แล้ว ทั้งสองไม่ได้รู้จักกันมาก่อนและไม่ได้มาจากเมืองเดียวกัน เมื่อพูดคุยและแนะนำกันและกันแล้วเราก็เดินไปทานอาหารเย็นที่ร้าน Na's Kitchen ก่อนแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางระหว่างกันและกัน พอทานอาหารเสร็จผมก็ขับมอเตอร์ไซด์ไปส่งเพื่อนของเธอที่เกสท์เฮ้าส์ที่อยู่ไม่ไกลจากถนนคนเดินมากนักก่อนที่ผมกับสาวนักเิดินทางจากกวางโจวที่เดินทางมาด้วยกันตลอดเกือบสามวันจะขับมุ่งหน้าสู่ที่พักของเราท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นจนคนซ้อนท้ายต้องทำปากสั่นเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากผมทันที
เมื่อเข้าสู่ที่พัก ความสับสนก็เกิดขึ้น แต่ผมไม่เคยให้ความรักมีอิทธิพลเหนือกามารมณ์ หลังจากอาบน้ำและต่างก็เอนตัวลงบนเตียงที่แยกจากกัน ผมก็เริ่มพูดคุยกับเธอไปเรื่อยเปื่อยก่อนตัดสินใจเอ่ยบอกความรู้สึกในใจให้กับเธอ....
รุ่งเช้าของวันใหม่ ผมตื่นขึ้นมาชงกาแฟแล้วไปนั่งบันทึกเรื่องราวการเดินทางตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาอยู่หน้าห้องพัก อากาศหนาวเย็นยิ่งนัก หมอกขาวโพลนลอยอ้อยอิ่งไปทั่วบริเวณ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้พบเจอเธอ ผมไม่อยากให้เวลาหมุนผ่านไปเลย ระยะทางจากเเม่ฮ่องสอนไปสู่ประเทศมหาอำนาจของโลกอย่างจีนแผ่นดินใหญ่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ใครสักคนจะเดินทางไปถึง ผมบ้าไปแล้ว บ้าเพราะความหลงในกลิ่นกายและความสุขที่กรุ่นกลิ่น เมื่อต้องจากลากันสิ่งสุดท้ายที่พอเป็นช่องทางให้สามารถติดต่อกันได้ก็เป็นเพียงการพิมพ์ผ่านเจ้า Wechat แอปปลิเคชั่นยอดนิยมของหนุ่มสาวชาวจีน และคงจะด้วยการส่งอีเมล์หากันเท่านั้น ผมถามเธอว่าทำไมไม่ใช้ Facebook เธอตอบผมว่าที่เมืองจีนรัฐบาลเค้าไม่ให้ใช้เว็บพวกนี้ เช่น Facebook Youtube เป็นต้น เว็บโซเชียลมีเดียของที่โน่นคือ Sina Weibo ที่เป็นภาษาจีนล้วนๆ ....ผ่านไปแล้วกับความทรงจำแห่งความหวังใหม่ เรื่องราวของการเดินทางของหญิงสาวจากแดนไกลที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผมเพียงเวลาสั้นๆ ราวหมอกยามเช้าที่จางจากในยามสาย ผมขับมอเตอร์ไซด์ย้อนกลับเส้นทางเดิมด้วยน้ำตาคลอเบ้า ในโลกกว้างใบนี้เมื่อมีพบก็มีจาก เมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าในรุ่งเช้าใหม่ชีวิตเราย่อมมีหวังเสมอ
ผมเชื่อตลอดเวลาว่า 'โลกนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ถ้าไม่ออกเดินทางก็ไม่มีวันค้นพบ'
อ่านตอน 1 http://watdocumentaries.blogspot.com/2012_11_23_archive.html
อ่านตอน 2 http://watdocumentaries.blogspot.com/2012/11/2.html
บันทึก 25 พฤศจิกายน 2555
ในตรู่เช้าแห่งกาลต้นหนาว
แดนดิน
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment