Thursday, May 16, 2013

เชียงคานในวันที่เงียบสงบแต่ไม่เงียบเหงา



   
 
      เชียงคานเมืองเล็กๆ ริมฝั่งโขง ทางภาคอีสานตอนบนยังคงเงียบสงบและคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวดุจเช่นวันวาน แต่เชียงคานในช่วงฤดูฝนนั้นพิเศษกว่าช่วงฤดูไหนเพราะไม่วุ่นวายและพลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยวเหมือนเช่นฤดูหนาวที่กล่าวกันว่ามีผู้มาเยือนเฉลี่ยวันละเกือบหนึ่งแสนคน...




     ฉันสะพายเป้ใบเขื่องขึ้นรถเมล์สายโคราช – เชียงคานเมื่อเวลา 10:00 น. ด้วยราคาตั๋วสองร้อยกว่าบาท รถวิ่งด้วยความเร็วมาตรฐานและแวะจอดตามท่ารถสำคัญกว่าจะเดินทางถึงเชียงคานก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสามแล้ว ฉันนั่งรถสามล้อสะกายแล็บ, แท็กซี่ขึ้นชื่อของหลายจังหวัดในภาคอีสาน คนขับเป็นลุงแก่ๆ คนหนึ่ง ตะแกยิ้มยิงฟันทันทีที่เห็นฉันก้าวลงจากรถเมล์และเอ่ยทักทายต้อนรับสู่เชียงคานราวฉันเป็นแขกคนสำคัญ จากนั้นแกก็ขับพาฉันมาส่งที่เกสท์เฮ้าส์แห่งหนึ่งย่านถนนคนเดินและตั้งติดริมฝั่งแม่น้ำโขง ฉันจ่ายแกไป 30 บาทและบอกแกให้มารับในวันรุ่งเช้า แกยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่มีเบอร์โทรและชื่อแกอยู่ให้ฉัน จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณแล้วก็บึ่งรถจากไป ส่วนฉันก็เดินตรงมาที่เกสท์เฮ้าส์ที่เป็นบ้านไม้สองชั้น พอก้าวเท้าเข้าสู่เกสท์เฮ้าส์ ก็พบเจอเด็กหนุ่มตัวเล็กคนหนึ่งยืนอยู่ตรงเคาเตอร์ ฉันเอ่ยถามถึงห้องพักและราคา พอได้คำตอบก็อ้อนขอต่อราคาจนเด็กหนุ่มคนนั้นต้องโทรถามเจ้าของเกสท์เฮ้าส์ว่ายินดีให้ฉันเข้าพักในราคาที่ฉันเสนอหรือไม่ คุยกันได้สักพัก เด็กหนุ่มก็ส่ายหัวจนฉันต้องยอมจ่ายในราคาที่ลดมานิดหนึ่ง แต่ก็พอรับได้กับห้องแอร์ที่มีไวไฟอินเทอร์เน็ตพร้อมวิวแม่น้ำ และที่สำคัญมีจักรยานให้ยืมฟรีและกาแฟไว้คอยบริการด้วย...


            



                           


       บ่ายวันนั้นฉันปั่นจักรยานไปตามถนนคนเดินและลัดเลาะไปตามริมฝั่งแม่น้ำโขง แวะทานข้าวปุ้นหรือสลัดวุ้นเส้น ซึ่งฉันต้องปรุงรสเอง รสชาตออกมาจึงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ ระหว่างที่ปั่นจักรยานอยู่นั้น ก็มีขบวนแห่ผ่านมา สอบถามคนแถวนั้นก็ทราบว่าเป็นงานบุญประจำปีของวัดแห่งหนึ่งในย่านนั้น ตกเย็นวันนั้นฉันก็ไปนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินตรงสวนสุขภาพและฟังเพลงขับกล่อมเบาๆ โดยหนุ่มนักร้องเพื่อชีวิตคนหนึ่ง ลมพัดเย็นระรื่น พระอาทิตย์กำลังลับเหลี่ยมภูผา สายน้ำโขงพริ้วระริกและมีเรือของชาวบ้านทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาขับล่องไปตามสายน้ำแห่งนั้น ช่างเป็นภาพที่สะกดฉันให้ยืนนิ่งมองด้วยความมหัศจรรย์...
             

        คืนนั้นฉันเดินไปตามถนนคนเดินที่ไม่พลุกพล่านและวุ่นวาย ฉันมาสะดุดอยู่ตรงร้าน Arts & Gallery แห่งหนึ่งที่มีหนุ่มผมยาวแต่งตัวเซอร์นั่งง่วนทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ฉันเอ่ยทักทายและขออนุญาตเดินเข้าไปชมภาพถ่ายที่แขวนประดับไว้ในร้านและโปสการ์ดที่วางขายอยู่ตรงชั้น หนุ่มคนนั้นเป็นนักถ่ายรูปมืออาชีพ เคยทำงานให้กับนิตยสารท่องเที่ยวหลายฉบับ อาทิ อสท เป็นต้น เขาดั้นด้นออกค้นหาชีวิตจนมาลงหลักปักฐานที่เมืองเล็กๆ ริมฝั่งโขงนามเชียงคานแห่งนี้พร้อมคู่รักที่รักการท่องเที่ยวและงานศิลปะไม่แพ้กัน...ฉันพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับหนุ่มติสท์คนนั้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนไปของเมืองเฉกเช่นที่เกิดขึ้นกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ของเมืองไทย เขาบอกว่า ‘แม่น้ำต้องมีแก่ง’ ทุกหนแห่งย่อมเปลี่ยนไปตามกระแสแห่งค่านิยม ฉันได้รับแรงบันดาลใจมากมายจากศิลปินหนุ่มคนนั้น เขาแนะนำให้ฉันเดินทางต่อไปที่ลำปางเพื่อเยี่ยมชมถนนคนเดินและเกสท์เฮ้าส์ของที่นั่นซึ่งเขาบอกว่า สวยงามประทับใจไม่น้อย ฉันยิ้มรับพร้อมขอให้เขาเขียนชื่อของถนนเส้นนั้นลงในกระดาษให้ฉัน จากนั้นก็ยื่นค่าโปสการ์ดแล้วเอ่ยคำลา...



ค่ำคืนนี้ ณ เชียงคาน อาจดูเงียบสงบแต่ไม่เคยเงียบเหงาสำหรับฉันเลย

แดนดิน

บันทึก ณ เชียงคาน

16 พฤษภาคม 2556

No comments: