Tuesday, December 18, 2012

แรงบันดาลใจจากนักเดินทางชาวเดนมาร์ก



     วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ฉันรู้สึกมีแรงบันดาลใจในการออกเดินทางค้นหาความสุขในการใช้ชีวิตตามประสาคนโสดที่ไม่มีภาระใดๆ แรงบันดาลใจนั้นมาจากหญิงสาวชาวเดนมาร์กวัยสามสิบสาม เธอเป็นนักจิตวิทยาอยู่ที่กรุงโคเปนเฮเกน วันนี้ฉันพาเธอไปหมู่บ้านรักไทย หมู่บ้านจีนยูนนานที่ขึ้นชื่อของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ พอไปถึงที่โน่นเราก็ไปเดินดูลานขายสินค้าใจกลางหมู่บ้านและแวะชิมชาชนิดต่างๆ ก่อนมานั่งตรงแคร่ไม้ริมทะเลสาบและเล่าเรื่องแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน เธอเล่าว่าเธอทำงานเพียง 6 เดือนและออกเดินทางไปทั่วโลกอีก 6 เดือน เธอเริ่มการเดินทางคนเดียวครั้งแรกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว จุดประสงค์ของการเดินทางเพื่อออกค้นหาคุณค่าของชีวิต ชีวิตที่ไม่ใช่ทำงานเพื่อเงินแต่ทำงานเพื่อความสุข ในสังคมของคนหนุ่มสาวชาวเดนมาร์กในยุคปัจจุบันนี้คือการใช้ชีวิตเพื่อตอบสนองความสุขของชีวิต การทำงานให้ได้เงินมาเพื่อซื้อรถ ซื้อบ้าน หรือเพื่อวัตถุนิยมทั้งหลายแหล่นั้นเคยเป็นส่วนหนึ่งของสังคมชาวเดนมาร์กเมื่อราว 10-20 ปีก่อน เธอตั้งคำถามกับฉันว่าทำไมเราต้องเดินตามระบบของสังคมและวิถีของคนส่วนใหญ่ ชีวิตในเมืองใหญ่ไม่ได้ทำให้เธอมีความสุขเลย เพื่อนบ้านข้างเคียงก็ไม่เคยแม้แต่จะทักทายกัน คนในเมืองใหญ่ขาดรอยยิ้มและต่างก็ดูเร่งรีบไปเสียตลอดเวลา เราขาดการพูดคุยกันแต่หันมาส่งข้อความแทนสิ่งที่ต้องการสื่อสาร แล้วเธอก็วกมาถึงเรื่องราวการเดินทางของเธอ เล่าถึงชีวิตของชาวชนบทในอินเดีย เนปาล เวียดนาม และอินโดนีเซียที่ชีวิตของคนเหล่านั้นเต็มไปด้วยสิ่งสวยงามของธรรมชาติ ความมีน้ำใจและความเป็นมิตรระหว่างคนในสังคม เธอย้ำอีกว่าการเดินทางนั้นได้เปลี่ยนความคิด มุมมองและประสบการณ์ในการใช้ชีวิตของเธออย่างสิ้นเชิง ทุกครั้งที่เธอเดินทางกลับเดนมาร์ก บ้านเกิดเมืองนอน เธอได้เห็นอะไรต่อมิอะไรเปลี่ยนไปมากมายและเธอต้องใช้เวลาไม่น้อยในการปรับตัวเข้ากับสังคมเดิมที่เธอจากมา

     ฉันฟังเธอเล่าอย่างเพลิดเพลินและได้เรียนรู้เรื่องราวระหว่างกันและกันอย่างล้นเหลือ เรื่องราวของสาวเดนมาร์กคนนี้ทำให้ฉันอยากออกเดินทางไกลมากยิ่งขึ้น บางครั้งการได้พบผู้คนจากหลากหลายสถานที่และต่างวัฒนธรรมก็ทำให้ฉันได้ค้นพบความจริงข้อหนึ่งว่าการทำงานนั้นไม่จำเป็นต้องได้มาในรูปแบบของเงินตราเสมอไปแต่อาจเป็นผลตอบแทนในรูปแบบอื่นเช่นรอยยิ้มและความสุขใจก็ได้
นับแต่นี้ฉันจะไม่ให้คำว่า เงิน มาทำให้ฉันเป็นคนหลงงมงายอีกต่อไป ฉันจะทำทุกๆ วันของชีวิตให้มีความสุขและเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ต่อตัวเองและต่อคนอื่น

แดนดิน
ในค่ำคืนแห่งความสุขของนักเดินทาง

Saturday, November 24, 2012

บันทึกห้วงอารมณ์แห่งความคิดถึง (ตอนจบ)


เที่ยงวันนั้นเราสองคนไปทานอาหารจีนยูนนานที่หมู่บ้านรักไทยซึ่งอยู่ห่างจากปางอุ๋งประมาณ 7 กิโลเมตร ก่อนจะขับมอเตอร์ไซด์มุ่งหน้าสู่อำเภอปาย ดินแดนแห่งรัก

ด้วยระยะทาง 111 กิโลเมตรจากอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนสู่อำเภอปาย ถนนคดเคี้ยวไปตามไหล่เขาราวงูที่กำลังเลื้อยไปมา นี่เป็นครั้งแรกของผมที่ได้ขับมอเตอร์ไซด์ด้วยระยะทางที่ไกลที่สุด ระหว่างทางผมแอบมองเธอผ่านกระจกอยู่บ่อยครั้ง ตลอดระยะเวลาสองชั่วโมงของการขับรถบนถนนที่โหดที่สุดเส้นหนึ่งของเมืองไทย ผมเต็มไปด้วยความสุขและความหวังใหม่

ที่อำเภอปายเธอพาผมเข้าไปสอบถามราคาห้องพักที่เกสท์เฮ้าส์เล็กๆ ริมฝั่งน้ำปายแห่งหนึ่ง เจ้าของเป็นชายหนุ่มผมยาว ตัวผอมกะหร่องราวพวกติสท์แตก เธอเอ่ยถามห้องพักเป็นภาษาอังกฤษก่อนจะเดินไปดูห้องและมีการต่อรองราคากันเกิดขึ้น เธอบอกผมเสมอว่าคนจีนชอบต่อราคาและเธอก็สนุกกับการได้เล่นเกมนี้ แต่สำหรับเกมนี้ชายหนุ่มคนนั้นกลับไม่ยอมแพ้ลดราคาห้องให้และเสนอให้ไปดูอีกห้องหนึ่งในราคาที่ถูกกว่า ระหว่างเดินชมห้องอยู่นั้น หนุ่มผมยาวเจ้าของเกสท์เฮ้าส์เอ่ยถามผมว่า 'แฟนน้องเค้าจะชอบหรือเปล่า' ผมรู้สึกหัวใจพองโตและคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยด้วยความกระหยิ่มใจที่ใครหลายคนต่างก็มองว่าเราเป็นคู่รักกัน ผมก็แสร้งตอบไปว่า 'ไม่แน่ใจครับพี่' จากนั้นผมก็หันไปมองหน้าสาวหมวยคนนั้นเพื่อขอคำตอบและเธอก็บอกว่าจะพาผมไปดูรีสอร์ทที่เคยพักก่อนเดินทางไปที่ปาย

เราขับมอเตอร์ไซด์ออกมาจากตัวเมืองอีกเล็กน้อยและก็ขับไปจอดที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งบนเนินเขา รีสอร์ทแห่งนั้นแบ่งห้องพักออกเป็นสองส่วนในราคาที่ต่างกัน ในส่วนที่ห้องราคาถูกนั้นมีคนเข้าพักเต็มหมดแล้วเหลือเพียงห้องพักราคา 700 บาทเท่านั้น และดูเหมือนเธอจะชอบที่นี่ไม่น้อยจึงทำให้หญิงสาวแบ็กแพ็คเกอร์คนนี้ตัดสินใจต่อราคาจนผู้ดูแลรีสอร์ทอ่อนใจลดเหลือเพียงห้องละ 400 บาทและเธอก็ถามผมว่า
'คุณพอใจกับห้องนี้มั้ย เดี๋ยวเราแชร์ก้น' ให้ดิ้นตายเหอะ การได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังจะไม่ให้ผมพอใจได้เชียวหรือ ผมก็ตอบเธอไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างมาดผู้ดี

เราเข้าพักห้องดังกล่าว เป็นห้องใหญ่ พักได้สามคน เมื่อเก็บกระเป๋าเข้าที่แล้วเราก็ขับมอเตอร์ไซด์เข้าไปในตัวเมืองเพื่อจะเอามอเตอร์ไซด์ของเธอไปคืนที่ร้านเช่ามอเตอร์ไซด์ชื่อดังของเมืองนี้ พอธุระทั้งหมดเสร็จสรรพเราก็เดินเล่นไปตามถนนคนเดิน...

ปายเป็นเมืองเล็กๆ ที่เหมาะกับนักเดินทางสะพายเป้มากที่สุด เมืองเล็กๆ แห่งนี้ดูสงบในตอนกลางวันและครึกครื้นเมื่อตะวันลับเหลี่ยมภูเขาและความมืดเข้ามาเยือน ระหว่างที่เดินกันอยู่นั้นนักเดินทางสาวชาวจีนคนนี้ก็ได้พบกันเพื่อนของเธอคนหนึ่งที่เจอกันที่ปายในวันแรกที่เธอมาพักที่นี่ เพื่อนเธอคนนี้ก็เดินทางมาที่ปายเพียงลำพังและพักอยู่ที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้สองอาทิตย์แล้ว ทั้งสองไม่ได้รู้จักกันมาก่อนและไม่ได้มาจากเมืองเดียวกัน เมื่อพูดคุยและแนะนำกันและกันแล้วเราก็เดินไปทานอาหารเย็นที่ร้าน Na's Kitchen ก่อนแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางระหว่างกันและกัน พอทานอาหารเสร็จผมก็ขับมอเตอร์ไซด์ไปส่งเพื่อนของเธอที่เกสท์เฮ้าส์ที่อยู่ไม่ไกลจากถนนคนเดินมากนักก่อนที่ผมกับสาวนักเิดินทางจากกวางโจวที่เดินทางมาด้วยกันตลอดเกือบสามวันจะขับมุ่งหน้าสู่ที่พักของเราท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นจนคนซ้อนท้ายต้องทำปากสั่นเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากผมทันที

เมื่อเข้าสู่ที่พัก ความสับสนก็เกิดขึ้น แต่ผมไม่เคยให้ความรักมีอิทธิพลเหนือกามารมณ์ หลังจากอาบน้ำและต่างก็เอนตัวลงบนเตียงที่แยกจากกัน ผมก็เริ่มพูดคุยกับเธอไปเรื่อยเปื่อยก่อนตัดสินใจเอ่ยบอกความรู้สึกในใจให้กับเธอ....

รุ่งเช้าของวันใหม่ ผมตื่นขึ้นมาชงกาแฟแล้วไปนั่งบันทึกเรื่องราวการเดินทางตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาอยู่หน้าห้องพัก อากาศหนาวเย็นยิ่งนัก หมอกขาวโพลนลอยอ้อยอิ่งไปทั่วบริเวณ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้พบเจอเธอ ผมไม่อยากให้เวลาหมุนผ่านไปเลย ระยะทางจากเเม่ฮ่องสอนไปสู่ประเทศมหาอำนาจของโลกอย่างจีนแผ่นดินใหญ่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ใครสักคนจะเดินทางไปถึง ผมบ้าไปแล้ว บ้าเพราะความหลงในกลิ่นกายและความสุขที่กรุ่นกลิ่น เมื่อต้องจากลากันสิ่งสุดท้ายที่พอเป็นช่องทางให้สามารถติดต่อกันได้ก็เป็นเพียงการพิมพ์ผ่านเจ้า Wechat แอปปลิเคชั่นยอดนิยมของหนุ่มสาวชาวจีน และคงจะด้วยการส่งอีเมล์หากันเท่านั้น ผมถามเธอว่าทำไมไม่ใช้ Facebook เธอตอบผมว่าที่เมืองจีนรัฐบาลเค้าไม่ให้ใช้เว็บพวกนี้ เช่น Facebook Youtube เป็นต้น เว็บโซเชียลมีเดียของที่โน่นคือ Sina Weibo ที่เป็นภาษาจีนล้วนๆ ....ผ่านไปแล้วกับความทรงจำแห่งความหวังใหม่ เรื่องราวของการเดินทางของหญิงสาวจากแดนไกลที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผมเพียงเวลาสั้นๆ ราวหมอกยามเช้าที่จางจากในยามสาย ผมขับมอเตอร์ไซด์ย้อนกลับเส้นทางเดิมด้วยน้ำตาคลอเบ้า ในโลกกว้างใบนี้เมื่อมีพบก็มีจาก เมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าในรุ่งเช้าใหม่ชีวิตเราย่อมมีหวังเสมอ

ผมเชื่อตลอดเวลาว่า 'โลกนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ถ้าไม่ออกเดินทางก็ไม่มีวันค้นพบ'

อ่านตอน 1 http://watdocumentaries.blogspot.com/2012_11_23_archive.html
อ่านตอน 2 http://watdocumentaries.blogspot.com/2012/11/2.html

บันทึก 25 พฤศจิกายน 2555

ในตรู่เช้าแห่งกาลต้นหนาว

แดนดิน

บันทึกห้วงอารมณ์แห่งความคิดถึง (ตอนที่ 2)


    ผมนอนหงายมือทาบอกทั้งสองข้าง ปล่อยความคิดไหลไปเรื่อยเปื่อยอย่างคนบ้า ความเงียบคลอบคลุมไปทั่วบริเวณ เงียบจนได้ยินเสียงลมหนาวพัดพรูหวิดหวิว ความเงียบและความฟุ้งซ่านทำให้ผมมิอาจข่มตาหลับได้และยิ่งทับถมความวุ่นวายในใจให้มากยิ่งขึ้น ผมจึงหันข้างไปทางเต๊นท์ของหญิงสาวแล้วเอ่ยถามชวนคุยเธอต่างๆ นานา จวบจนเธอหลับไป....สำหรับผมแล้วความรักมีอิทธิพลสูงกว่ากามารมณ์ แต่ถึงกระนั้นการพบกันเพียงไม่กี่วันผมควรจะเรียกว่า 'รัก' ได้อย่างไร ความรักมันเกิดขึ้นได้เพียงเวลาสั้นๆ เท่านั้นหรือ ถ้านี่ไม่ใช่ความรักผมควรจะเรียกอาการเช่นนี้อย่างไรดี นั่นคือปมที่ขมวดอยู่ในห้วงความคิดแห่งรัติกาลของสายลมหนาว....

   ผมไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน ตื่นขึ้นมาอีกทีตอนได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกตอน 6 โมงเช้า ผมสลัดผ้าห่มไปกองตรงปลายเท้าก่อนรีบควานหาไฟฉายข้างกายเพื่อเปิดค้นหาผ้าเช็ดตัวกับ ชุดทำความสะอาดฟัน (ผมเรียกมันเช่นนั้น) แล้วเปิดซิบเต๊นท์นอนออกมาสูดอากาศยามเช้าที่ยังสลัวและขมุกขมัวด้วยม่านหมอกขาวโพลน หญิงสาวในเต๊นท์ข้างๆ ส่งเสียงงัวเงียออกมาจากเต๊นท์ถามว่ากี่โมงแล้ว ผมอยากให้เธอรีบลุกขึ้นมาเร็วไวก็รีบตอบกลับไปว่าสายแล้ว หมอกกำลังสวยได้ที่ให้รีบลุกมาถ่ายรูปกัน ผ่านไปสักพักเธอก็ออกมาจากเต๊นท์นอน ผมเห็นเข้าก็ส่งยิ้มให้ เธอดูขัดเขินเล็กน้อยก่อนเอ่ยทักทายสวัสดียามเช้าแล้วส่งเสียงตะลึงงันกับภาพของหมอกที่ลอยระเรี่ยเหนือผิวน้ำและโอบล้อมเราไว้ทุกทิศ

   เช้านั้นเราถ่ายรูปบรรยากาศปางอุ๋งที่อบอวลด้วยไอหมอกท่ามกลางป่าสนสองใบที่พลิ้วไหวไปตามสายลมหนาว เราสองเดินจากมุมนี้ไปมุมโน้น จากฟากฝั่งหนึ่งไปสู่ฟากฝั่งที่ไกลออกไป เธอขอให้ผมถ่ายรูปของเธอโดยจัดฉากให้ตัวเธอเดินไปบนถนนเส้นเล็กๆ ที่มีหมอกกลุ่มหนึ่งเป็นกำแพงอยู่ด้านหลังและด้านข้างก็เป็นผืนน้ำที่มีละไอหมอกพรั่งพรูขึ้นมาและเธอก็เรียกมันว่า 'เส้นทางสู่ดินแดนแห่งมนตรา (Wonderful Land)' สักพักก็มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินผ่านมาเธอจึงขอให้เด็กหนุ่มคนนั้นถ่ายรูปเราสองคน...เรือนผมของเธอสัมผัสตรงไหล่ของผม กลิ่นหอมจากปอยผมของคนที่ยืนชิดอยู่ข้างๆ ก็วิ่งเป็นเส้นเป็นสายเข้าไปในจมูกทั้งสองรูของผมแล้วเข้าไปปั่นป่วนในใจของผมให้อยากโอบกอดเรือนร่างของหญิงสาวข้างๆ มากยิ่งขึ้น ให้ดิ้นตายเหอะ...ผมกำลังจะกลายเป็นพันธุ์หมาบ้าไปเสียแล้ว.....

อ่านตอนที่ 1 http://watdocumentaries.blogspot.com/2012_11_23_archive.html


 

Friday, November 23, 2012

บันทึกห้วงอารมณ์แห่งความคิดถึง (ตอนที่ 1)


   ในเย็นหนึ่งของวันวาน เราขับมอเตอร์ไซด์มุ่งหน้าสู่ทะเลสาบแห่งเทพนิยายอันลือชื่อของเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ เราขับผ่านเนินเขาและท้องทุ่งท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น หญิงสาวกับเป้ใบเขื่องและมอเตอร์ไซด์ที่วิ่งตามหลังอยู่นั้นทำให้ผมอดเผยยิ้มบางๆ ผ่านกระจกหน้ารถเสียมิได้ เราสองพบกันเมื่อเย็นวันก่อน เมื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวการท่องเที่ยวระหว่างกันอย่างถูกคอ ผมจึงพาเธอตะบึงมอเตอร์ไซด์คนละคันมุ่งหน้าสู่ทะเลสาบแห่งความฝันตามที่เธอปรารถนา

   เรามาถึงทะเลสาบเมื่อตะวันใกล้ลับเหลี่ยมภูผา ภายหลังหาเต๊นท์เช่าได้แล้วต่างก็พากันไปถ่ายรูปในหมู่บ้าน หญิงสาวผมยาวตาเล็กหยิบหยีคนนั้นเพลิดเพลินไปกับการถ่ายรูป ร้านขายโปสการ์ดตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทางเดิน เราแวะทานก๋วยเตี๋ยวในร้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง เจ้าของร้านเอาชามาเสิร์ฟให้เราก่อนทานอาหารจานเด็ดของมื้อนั้น...

   ตะวันลับฟ้าไปแล้ว ความมืดเริ่มคลี่ตัวโอบล้อมบริเวณโดยรอบ ณ ที่แห่งนี้ไฟยังเข้าไม่ถึง ชาวบ้านจึงใช้เครื่องปั่นไฟแทนซึ่งจะปิดราวสี่ทุ่ม เราสองคนเดินผ่านความมืดของเส้นถนนเล็กๆ ที่ทอดตัวจากหมู่บ้านไปยังลานกางเต๊นท์ของอุทยาน คืนนั้นอากาศหนาวเย็นบาดเยือก นักท่องเที่ยวยังไม่มาก เรานั่งดูดาวและพูดคุยกันอย่างเต็มอิ่ม หลายเดือนที่ผ่านมานั้น ผมวุ่นวายอยู่กับหลายสิ่งหลายอย่างที่ถาโถมเข้ามาอย่างบ้าคลั่งจนไม่สามารถหาเวลาที่จะออกค้นหาแรงบันดาลใจได้เลยแม้แต่น้อย แต่เย็นของวันหนึ่งที่สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนักหน่วง เป็นฝนหลงฤดูในเดือนพฤศจิกายนผมกับได้พบกับนักเดินทางสาวชาวจีนจากกวางโจวคนนี้ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่การค้นหาแรงบันดาลใจอีกครั้ง

   ผมว่าเวลาที่เราโตมากขึ้น การที่เราจะเอ่ยบอกคำว่ารักหรือชอบกับใครสักคนมันเป็นที่เรื่องไม่ง่ายเหมือนตอนเป็นเด็กหนุ่มวัยขบเผาะ ผมสงสัยว่าเราจะมีความรู้สึกเช่นนี้กับใครสักกี่คนในชีวิตอันแสนสั้นของเรา ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมทุ่มรักให้กับเด็กสาวคนหนึ่งจนหมดเปลือกแต่ผลของความไว้ใจก็กลายเป็นความขมขื่นที่ผมต้องแบกรับเอาไว้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เด็กสาวคนนั้นก็เหมือนเด็กสาวในเมืองใหญ่ทั่วๆ ไป ที่หวั่นไหวไปตามอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง

   เราเข้านอนในเต๊นท์ของตัวเองก่อนน้ำค้างจะพร่างพรมลงมาอย่างหนัก อากาศเริ่มแผ่รังสีความหนาวเย็นมากขึ้น แต่นั่นก็ยังไม่สะทกสะท้านเท่ากลับรังสีและกลิ่นกายของหญิงสาวที่นอนอยู่ในอีกเต๊นท์ที่ห่างกันเพียงหนึ่งศอก.....

Monday, November 19, 2012

สายฝน ลมหนาว และความเหงา


เย็นวันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2555 เวลาราวห้าโมงถึงหกโมงท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาราวกับฤดูฝน มีรถมอเตอร์ไซด์ของหญิงสาวคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในเกสท์เฮ้าส์ของฉัน เนื้อตัวเธอเปียกปอนและคงจะหนาวสั่นไม่น้อย เธอถามว่ามีห้องพักว่างมั้ยฉันตอบว่าตอนนี้ทางเกสท์เฮ้าส์ของฉันจะปิดรับแขกชั่วคราวเพราะทางฉันจะต้องไปยื่นต่อไฟ 20 แอมป์ในวันพรุ่งนี้ เธอร้องขออ้อนวอนว่าเธอจะพักเพียงคืนเดียวแล้วพรุ่งนี้ก็จะเช็คเอ้าท์แล้ว ฉันตกลงและบอกราคาห้องพักไป เธอทำตกใจและต่อรองราคา สุดท้ายฉันก็ยอมแพ้เธอ

เธอเป็นหญิงสาวชาวจีนจากกวางโจว มาเที่ยวเชียงใหม่และปายเพียงลำพัง ขับมอเตอร์ไซด์จากอำเภอปายฝ่าสายฝนที่หลงฤดูมาตลอดทาง เธอบอกมีร้านขายยาอยู่แถวนี้บ้างไหม ฉันถามเธอว่าเป็นอะไรแล้วเธอก็ยกแขนและขาให้ดูว่าเธอเหมือนจะรู้สึกฟกช้ำจากการขับมอเตอร์ไซด์มาตลอดวันนี้ แม่ของฉันที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รีบเอายาหม่องมาให้แล้วจากนั้นเราก็เริ่มพูดคุยด้วยกันอย่างสนิทใจ


ฉันพาเธอไปกินข้าวที่ร้านสาละวิน ผ่านถนนคนเดินที่เงียบกริบเพราะฝนเจ้าปัญหา ผ่านร้านอาหารและบาร์แห่งหนึ่งที่ดูโหรงเหรงลูกค้าไม่เยอะ เราเดินผ่านไปแล้วไปนั่งที่ร้านสาละวิน.....ร้านอาหารชื่อดังที่นักท่องเที่ยว (ฝรั่ง) รู้จักกันดี

ฉันก็เป็นแค่ใครคนหนึ่งที่ยังมีกิเลส ความเหงามันทำให้ฉันอยากมีเพื่อนไว้คอยพูดคุยด้วย แม่ฮ่องสอนเป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบเสียบางครั้งทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนต้องตัดเวลาเดินทางมาที่เมืองนี้เพื่อไปยังจุดหมายอื่นที่น่าค้นหามากยิ่งขึ้น

ฉันไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่ตลอดช่วงเวลาที่เรานั่งกินข้าว ฟังเพลงขับกล่อมเบา ๆ และเดินลัดเลาะผ่านริมหนองและวัดจองคำจองกลางจนมาถึงที่เกสท์เฮ้าส์ของฉันก็นับว่าชีวิตของฉันในวันนี้ ณ เมืองเล็กๆ อย่างแม่ฮ่องสอนมันดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น

ยินดีที่ได้รู้จักนะ Tan Qing

19 พฤศจิกายน 2555
 23:21 น.

แดนดิน

Thursday, November 8, 2012

ฉันค้นพบว่าชีวิตในกรุงเทพฯ ช่างเหมาะแก่การมาเที่ยวพักผ่อนมากกว่าที่จะต้องมาใช้ชีวิตอยู่เป็นเดือนเป็นปี

     วันนี้เป็นวันที่สองที่ฉันได้มาทำธุระที่กรุงเทพฯ ความรู้สึกเหมือนกรุงเทพฯ ในวันนี้เปลี่ยนไปจากวันที่ฉันใช้ชีวิตทำงานอยู่ที่นี่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างน้อย ความคิดของฉันตกผลึกมากขึ้น คิดอะไรหนักแน่นมากขึ้น ไม่ทำตามอารมณ์หรือความรู้สึกของตัวเองเหมือนเช่นวันวาน และกรุงเทพฯ ก็ยังน่าอยู่ในแง่ของการค้นหาและน่าเบื่อในแง่ของความวุ่นวายของเมือง

     วันนี้กรุงเทพฯ มีคำขวัญเหมือนกับจังหวัดอื่นๆ แล้ว ฉันเห็นติดไว้เด่นหราอยู่ตามป้ายรถเมล์ว่า  "กรุงเทพฯ ดุจเทพสร้าง เมืองศูนย์กลางการปกครอง วัด วัง งามเรืองรอง เมืองหลวงของประเทศไทย" เห็นแล้วให้รู้สึกว่ากรุงเทพฯ ช่างเป็นเมืองที่น่าอยู่เสียยิ่งกระไร ไม่แปลกที่เมืองฟ้าอมรแห่งนี้จะทำให้ใครต่อใครต่างเข้ามาอยู่อาศัยทำมาหากิน ด้วยหวังว่าเมืองที่รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างมากองไว้อยู่ที่เดียวจะให้โอกาสในชีวิตให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น หลายคนมุ่งมั่นค้นหาความฝันในเมืองศูนย์กลางแห่งนี้ ต่างคนต่างลำบากแต่ก็เต็มไปด้วยสีสันของชีวิต แม้กรุงเทพฯจะดูวุ่นวายอยู่บ้างแต่มหานครแห่งนี้ก็ได้สร้างอนาคตให้กับเหล่าหนุ่มสาวและใครต่อใครมากมายหลายคน

     ทุกครั้งที่มาทำธุระที่กรุงเทพฯ ฉันชอบไปวิ่งที่สวนลุมในตอนเย็นเสียทุกครั้ง นี่เป็นวันที่สองแล้วที่ฉันได้มาวิ่งที่สวนลุมฯ แห่งนี้ภายหลังเสร็จจากหน้าที่การงาน ความสุขอย่างหนึ่งที่ฉันค้นพบที่ได้มาวิ่ง ณ แหล่งฟอกปอดอีกแห่งของคนกรุงคือการได้เห็นรอยยิ้มและความมีชีวิตชีวาของคนเมืองหลวง ได้เห็นต้นไม้ยอดหญ้าสีเขียว ความเป็นธรรมชาติที่ช่วยขจัดความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจของใครต่อใคร ได้ยินเสียงนกขับขานเจื้อยแจ้ว ได้เห็นผู้คนมากหน้าหลายวัยเต้นไปตามจังหวะของเสียงเพลงและมีคนนำอยู่บนเวทีที่คอยส่งเสียงปลุกใจให้ฮึกเหิมมุ่งมั่นกับการออกกำลังกายด้วยถ้อยประโยคที่ว่า "ถ้าอยากผอมและหุ่นสวย อย่ายอมหยุดเต้นนะจ๊ะ"

    ภายหลังที่ฉันออกกำลังกายจนได้เหงื่อเต็มแผ่นหน้าและแผ่นหลัง และเห็นว่าพอสมควรแก่เวลาแล้ว ฉันก็เดินจากสวนลุมไปตามถนนราชดำริเพื่อมุ่งสู่ที่พักย่านประตูน้ำ ฉันค้นพบว่าชีวิตในกรุงเทพฯ ช่างเหมาะแก่การมาเที่ยวพักผ่อนมากกว่าที่จะต้องมาใช้ชีวิตอยู่เป็นเดือนเป็นปี และกรุงเทพฯ ก็ทำให้ฉันคิดถึงเด็กสาวคนหนึ่งที่ฉันเคยผูกพันเมื่อครั้นวันวาน ฉันรู้สึกขบขันกับตัวเองที่ครั้งหนึ่งเคยพาเธอคนนั้นมาติดฝนที่สวนลุมเพียงเพราะเราสองคนอยากจะมาเที่ยวสวนลุมไนท์บาร์ซ่าโดยที่ไม่รู้ว่ามันปิดไปแล้วตั้งแต่ปีมะโว้ ฉันแอบน้ำตาไหลและเหมือนมีก้อนสะอึกมาจุกตรงลำคอเวลาที่เดินผ่านเซ็นทรัลเวิร์ล เพราะที่แห่งนี้ฉันกับเด็กสาวคนนั้นมักจะมาเที่ยวด้วยกันในวันหยุดเสาร์อาทิตย์เสมอ ฉันรับรู้อย่างขมขื่นแล้วว่าโลกแห่งความสุขในวันวานนั้นมักจะผ่านไปเร็วเสมอและเมื่อเราโตขึ้นความสุขที่เราเคยสัมผัสในอดีตก็มักจะหวนกลับมาทุกครั้งที่เรารู้สึกเปล่าเปลี่ยวและคิดถึงใครบางคน....

แดนดิน

8 พฤศจิกายน 2555

Monday, November 5, 2012



ใครหลายคนต่างออกค้นหาความสำเร็จ และแน่นอนความสำเร็จของแต่ละคนอาจมีระดับหรือปริมาณที่ไม่เท่ากัน ความสำเร็จอาจควบคู่กับความสุข และความสุขก็เป็นสิ่งที่เราอยากได้มาครอบครองด้วยกันทั้งนั้น

ผมว่าในชีวิตการเป็นมนุษย์ที่ยัง กิน ขี้ ปี้ นอน การได้ทำอะไรบางอย่างที่เรารักก็ถือเป็นความสุขหนึ่งแล้ว
ความทุกข์เกิดจากความไม่พอใจอะไรบางอย่าง คือความอึดอัดขัดข้องที่ไม่สมดังใจปราถนา วิธีขจัดความทุกข์ของผมคือการออกเดินทาง เมื่อไหร่ที่ตัวเองไม่สบายใจจนใกล้จะบ้าเต็มทน ผมจะหยุดทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเดินทางไปไหนสักแห่ง และยิ่งได้อ่านหนังสือสักเล่มที่เราชอบก็สามารถเอาชนะความทุกข์ได้แล้ว

ตั้งแต่ที่ผมตัดสินใจออกเดินทางหาความสุข ผมค้นพบว่าความสุขที่ผมต้องการนั้นคือความทุกข์อีกอย่าง ผมฝันอยากมีธุรกิจเล็กๆ ที่สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้แล้วหาเวลาไปเที่ยวที่ไหนตามใจปราถนาเมื่องว่างเว้นจากการงาน แต่สิ่งๆ นั้นกลับทำให้ผมเป็นทุกข์อย่างหนัก การทำธุรกิจส่วนตัวไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนการเรียนหนังสือเอาใบปริญญา ความสำเร็จจะมีได้ต้องมีความอดทนและต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ มากมาย ในบางครั้งเราอาจต้องยอมนอนเจ็บปวดบ้างแต่รุ่งเช้าเราต้องลุกขึ้นสู้อย่างเต็มพลัง การงานที่เราต้องทำให้เสร็จในวันนั้นต้องรีบจัดการทันที

ผ่านมาถึงวันนี้ ผมได้พบกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย ได้เห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในร้านอาหาร เห็นถึงความขัดแย้งของบุคลากร ความไม่พอใจของลูกค้าและความกดดันในการทำยอดขาย

นี่แหละคือความทุกข์ในความสุขที่เราออกค้นหา....ผมนับวันให้ผ่านช่วงนี้ไปให้ได้เร็วที่สุด....และวันไหนที่ผ่านไปได้ ผมจะตะลุยขึ้นไปที่เขาเหลียงซานและตะโกนฝ่าหุบเหวออกไปให้สุดเสียงว่า "ข้าทำได้แล้วเว้ยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!"

Monday, October 29, 2012

เราทำงานหาความสุขหรือทำงานหาเงิน?



   ผมเดินออกจากความจำเจของห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ที่ล้อมรอบด้วยมนุษย์ที่แต่งตัวโก้เก๋สวยงามมีหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเพื่อนคุยตลอดวัน ต่างคนต่างคร่ำเคร่งกับการพูดคุยติดต่อธุระและเอกสารเป็นกองบนโต๊ะทำงาน มนุษย์ที่เกลียดวันจันทร์แต่เริงร่ากับวันศุกร์และวันหยุดสุดสัปดาห์ ในเช้าวันทำงานต่างเบียดเสียดขึ้นรถไฟฟ้า รถเมล์ มีสมาร์ทโฟนไว้แช็ตคุยหรืออัพเดทสเตตัสของตัวเอง ความจำเจซ้ำซากบนซากปรักแห่งมหานคร ความเบื่อหน่ายแห่งภาระ ผมอิจฉาหนุ่มสาวหลายคนที่ออกเดินทางค้นหาบางสิ่งบางอย่างในโลกกว้างใบนี้ที่ไม่มีแค่ห้องสี่เหลี่ยมเท่านั้น....

   ใครคนหนึ่งบอกผมไว้เสมอว่า คนเราถ้ารักจะทำอะไรแล้วก็รีบทำเสียตั้งแต่เป็นหนุ่มเป็นสาว ไม่อย่างนั้นเราจะเสียดายกับวันเวลาที่หมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันนั้นเป็นฤดูหนาวที่หนาวบาดลึกพร้อมกับความวุ่นวายทางการเมืองในเมืองหลวง ผมรักเมืองไทยแต่ผมเกลียดกรุงเทพฯ ผมหยิบหนังสือโลกในเม็ดทราย โดย โดม วุฒิชัย ขึ้นมาอ่านในร้านกาแฟเล่มโปรดย่านพระโขนงและนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการออกเดินทางสู่การค้นหา...โลกในเม็ดทรายบอกกับผมว่าเราทำงานหาความสุขไม่ได้ทำงานหาเงิน ความสุขไม่ได้อยู่ที่ลอนดอน ปารีส นิวยอร์ค กรุงเทพฯ หรือธรรมศาลา แต่ความสุขอยู่ทุกหนทุกแห่งที่เราค้นพบแรงบันดาลใจ ผมไม่แปลกใจที่เห็นฝรั่งคนหนึ่งมาอยู่ที่แม่ฮ่องสอนเกือบปี ผมไม่แปลกใจที่เห็นนักเขียนชาวญี่ปุ่นมานั่งหาแรงบันดาลใจริมสวนสาธารณะหนองจองคำในตรู่เช้าที่หมอกลอยระเรี่ยวผิวน้ำ และผมไม่แปลกใจที่เห็นฝรั่งหนุ่มสาวคู่หนึ่งมาพักในเกสท์เฮ้าส์ของผมที่ยังไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ มีแต่แสงเทียนเท่านั้น ผมว่า...ความสุขนั้นอยู่ทุกหนทุกแห่งถ้าวันไหนผมต้องการแรงบันดาลใจผมจะสะพายเป้ใบเขื่องแล้วท่องเที่ยวไปตามใจปรารถนา

แดนดิน

29 ตุลาคม 2555

Friday, August 17, 2012

บันทึกการฝึกงานด้านการโรงแรมสัปดาห์ที่สอง



สัปดาห์นี้ย้ายมาทำแผนกต้อนรับ (Reception) หรือ Guest Service Agent (GSA) หรือ Front งานหลักๆ ที่ได้ทำคือการศึกษาเกี่ยวกับเอกสารที่ต้องใช้ในการ Check-in และ Check-out ของแขกที่เข้าพักตลอดจนแบบฟอร์มและหลักฐานต่างๆ ที่ต้องส่งให้กับทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) นอกจากงานเอกสารแล้วก็มีโอกาสได้ศึกษาเกี่ยวกับมารยาทการเป็นพนักงานต้อนรับที่ดี ประโยคภาษาอังกฤษที่ต้องใช้ พร้อมได้สัมผัสประสบการณ์โดยตรงจากการลงไปต้อนรับแขกและพาแขกไปส่งที่ห้องพัก

งาน Front Desk เป็นงานที่สนุกและท้าทาย ต้องมีไหวพริบ คิดแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา

ตอนนี้ฝึกงานมาครบสองอาทิตย์แล้วเหลือเพียงอีกสองวันก็คงต้องจาก The Dewa Phuket ไปแล้ว ระยะเวลาประมาณ 14 วันที่ได้มาเรียนรู้งานโรงแรมทำให้ได้ประสบการณ์และความรู้ที่มั่นใจได้ว่าสามารถนำไปใช้กับธุรกิจของตัวเองได้อย่างแน่นอน ที่สำคัญการมี Connection ณ ที่แห่งนี้ก็ถือว่าคุ้มเกินคุ้มแล้ว

โอกาสมันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ และเมื่อได้โอกาสนั้นมาแล้วจะต้องรีบไขว่คว้าไว้ทันที

นายแดนดิน
17 สิงหาคม 2555
เวลา 21:00 น.

Sunday, August 12, 2012

บันทึกการฝึกงานด้านการโรงแรมสัปดาห์แรก


     ผ่านไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ของการมาฝึกงานด้านการโรงแรมที่ The Dewa Phuket โรงแรมห้าดาวริมหาดไนยางที่ซึ่งครั้งหนึ่งลูกเรือของ Air Asia เคยใช้เป็นที่นอนพักค้างคืนเนื่องด้วยสถานที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินภูเก็ตเพียงขับรถสามนาทีก็ถึงสนามบินแล้ว


     สัปดาห์แรก ของการฝึกงานเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เริ่มต้นสัปดาห์แรกที่แผนก House Keeping (HK) หรือแผนกแม่บ้านซึ่งในแผนกนี้ประกอบไปด้วยพนักงานทำความสะอาดห้อง (Room Maid) พนักงานทำความสะอาดทั่วไป (Room Boy) เจ้าหน้าที่ตรวจความเรียบร้อยของห้องพัก (Supervisor) เจ้าหน้าบันทึกข้อมูลและรายการต่างๆ (Clerk) เริ่มต้นวันแรกด้วยการไปดูห้องพักต่างๆ ของโรงแรมที่แบ่งออกเป็นสองประเภทคือ Residential Apartment และ Pool Villa แต่ละห้องมีการตกแต่งสไตล์ Boutique Resort บางห้องเป็นเตียงเดี่ยว (Double Bed หรือ One Bedroom) เป็นเตียง King Size ขนาด 6 ฟุต ส่วนบางห้องก็เป็น Two Bedroom (ความจริงก็คือ One Bedroom เพียงแต่แยกเป็นสองห้องเท่านั้น) ทางพี่ที่เป็นหนึ่งใน Supervisor หรือซูเปอร์ก็พูดแนะนำหน้าที่การทำงานของแต่ละคนอย่างละเอียด ตกบ่ายได้ไปฝึกการปูเตียงกับทางพี่บังที่เป็น Room Boy ด้วย ก่อนกลับมาทำหน้าที่ Clerk ในออฟฟิตซึ่งที่นี่ได้เรียนรู้การทำงานเกี่ยวกับเอกสาร การรับโทรศัพท์ การลงบันทึกข้อมูลต่างๆ ตลอดจนการประสานงานกับแผนกอื่นๆ เช่น แผนกต้อนรับ แผนกซ่อมแซม เป็นต้น (ในส่วนโปรแกรมที่ทางโรงแรมใช้คือ Amadeus ซึ่งได้รับการแนะนำและฝึกใช้เบื้องต้นเท่านั้น)

ในวันที่สองก็ไปช่วยงานในออฟฟิตพอตกบ่ายก็ไปปูเตียงอีกรอบ

วันที่สาม นั่งช่วยงานในออฟฟิตทั้งวัน



วันที่สี่ ลางานเพื่อไปทำธุระ

วันที่ห้า ช่วยงานในออฟฟิตและไปฝึกปูเตียง




วันที่หก ช่วยจัดงาน Wedding



สรุปแล้วในการฝึกงานในสับปดาห์แรกนั้นได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานที่ผมเรียกว่า Back Office ได้อย่างเต็มที่ ในสัปดาห์ทีสองคือตั้งแต่วันที่ 13 - 17 ก็จะเป็นในส่วนของแผนก Reception ที่คงต้องพบกับเรื่องท้าทายอีกมากมาย

บันทึกวันที่ 12 สิงหาคม 2555 เวลา 20:28 น.

แดนดิน

Monday, August 6, 2012

บันทึก ณ ภูเก็ต (ตอนที่ 2) : งานโรงแรมทำให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ


   
     The Dewa Phuket คือโรงแรมที่ผมตัดสินใจมาเรียนรู้และฝึกฝนวิชาการโรงแรม และเมื่อได้เข้ามาอยู่ในแวดวงนี้ทำให้ผมคิดว่าการเรียนรู้จากการลงมือทำนั้นย่อมได้ผลดีกว่าการเรียนแต่ภาคทฤษฎีอย่างเดียว
วันนี้ผมตื่นแต่เช้าตอนตีห้าครึ่ง อาบน้ำเสร็จสรรพก็รีบแต่งตัวแล้วนั่งเล่นเน็ตอยู่พักหนึ่งก่อนเดินออกมารอรถโรงแรมที่หน้าหมู่บ้าน รถโค้ชสีฟ้าแกมม่วงผ่านมาตอนเวลา 07:30 น. แต่ผมไม่เห็นป้ายติดหน้ารถว่า “The Dewa Phuke” ทำให้ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าใช่รถของโรงแรมหรือไม่ รู้เพียงว่ารถที่จะมารับเป็นรถสีฟ้าแกมม่วงอย่างพี่หัวหน้า FO บอกไว้ทางโทรศัพท์ ผมยืนเก้ๆ กังๆ อยู่พักหนึ่งแล้วมีหญิงสาววัยสามสิบต้นๆ กวักมือเรียกจากชั้นสองของรถ ผมแหงนมองพร้อมส่งส่งยิ้มให้ทันทีแต่พี่แกซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลก็ไม่ได้ยิ้มตอบกลับมา
รถวิ่งด้วยความเร็วคงที่มาถึงโรงแรมตอนเวลาใกล้ 08:00 น. และจากข้อมูลที่ผมได้รับทราบมา The Dewa Phuket เป็นโรงแรมระดับสามถึงสี่ดาว ห่างจากสนามบินภูเก็ตเพียงสามนาทีของการขับรถ ผมเริ่มต้นด้วยการไปพบพี่หัวหน้าฝ่ายบุคคล พอได้เสื้อและการพาแนะนำเกี่ยวกับการทำงานสั้นๆ ผมก็เริ่มบทเรียนการโรงแรมบทที่ 1 ทันที

บทที่ 1 : หน้าที่ของแผนก House Keeping

ในส่วนของโรงแรม The Dewa Phuket นั้นแบ่งหน้าที่แผนก House Keeping ออกเป็นดังนี้

1.      1.  Room Maid หรือบางที่เรียกว่า Room Attendant มีหน้าที่ทำความสะอาดห้องพักแขกในแต่ละวันตามใบงานที่ทางเจ้าหน้าที่ฝ่าย Clerk  (เจ้าหน้าที่ธุรการ) ที่โรงแรม The Dewa Phuket แบ่งห้องพักออกเป็นสองประเภทคือ แบบ Pool Villa กับแบบ Residence (Residential Apartment) ห้องแบบวิลล่ามีจำนวน 34 ห้อง ส่วน Residence นั้นมีทั้งแบบให้เช่าและแบ่งขายซึ่งมีสองแบบคือ Junior Suite และ Family Suite และแต่งละ Room Type ก็แบ่งออกเป็น One Bed Room (Double Bed) กับ Two Bed Rooms (Twin Bed) ในแต่ละ Floor จะมีห้อง Panty Room (ห้องเก็บพวกผ้าห่ม ผ้าปูเตียง ฯลฯ) และมี Baby Cot อยู่ชันหนึ่งกับชันสี่ โรงแรมอยู่ติดหางในยาง วิวทิวทัศน์และการจัดตกแต่งภายในโรงแรมสวยงามสไตล์บูติคโฮเท็ล Room Maid เล่าให้ฟังว่าเวลาทำความสะอาดห้องแขกนั้นต้องระมัดระวังเกี่ยวกับทรัพย์สินของแขกให้มากที่สุดเพราะในบางครั้ง Safety Box ก็เปิดทิ้งไว้มีเงินดอลล่าเป็นปึกๆ อยู่ในนั้น บางทีแขกใจดีทิ้งทิปนับพันไว้บนโต๊ะรับแขกซึ่ง Room Maid ทุกคนต้องโทรแจ้งกับทาง Clerk ทุกครั้งที่เข้าไปทำความสะอาดในห้องแขก

2.      2.  Room Boy ตำแหน่ง Room Boy ก็คือทำความสะอาดทั่วๆ ไป รวมไปถึงการปูเตียง (ซึ่งผมคงจะได้ฝึกทำในวันพรุ่งนี้ 7 สิงหาคม 2555 ) และอาจเข้าไปช่วย Room Maid บ้างเมื่อจำเป็น เมื่อแขก Check Out แล้ว Room Boy ต้องรีบเข้าไปจัดการดึงผ้าปูเตียงออกแล้วจัดส่งไปแผนกซัก อบ รีด ทันที พร้อมจัดการปูเตียงให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ
3.      
          3. Clerk หรือแผนกธุรกรรม ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างแผนกแม่บ้านหรือ House Keeping จัดเก็บข้อมูลในทุกๆ ด้านรวมทั้งการจัดดอกไม้  Mini Bar เป็นต้น (โรงแรมระดับห้าดาวจะแบ่งหน้าที่ Mini Bar, Clerk, Super (Supevisor), Florist ออกไว้อย่างชัดเจน) หน้าที่ของ Clerk คือการลงบันทึกเกี่ยวกับการทำงานของ Room Maid ในทุกๆ ครั้งที่เข้าไปทำความสะอาดห้องพักตลอดจนบันทึกรายการซ่อมแซมหรือปัญหาต่างๆ พร้อมกับเรื่องการส่งเสื้อผ้าแขกไปซักด้วย เรียกได้ว่าศูนย์กลางการทำงานด้าน House Keeping นั้นอยู่ที่ Clerk ทั้งหมด (ประสบการณ์ตรงนี้ทำให้ผมนึกย้อนถึงตอนทำงานกับบริษัทท่องเที่ยวที่ศูนย์กลางการทำงานอยู่ที่ Tour Operation ทั้งหมด)

นี่คือสามตำแหน่งที่ผมได้รู้จักในวันนี้และได้มีโอกาสได้เข้าไปทดลองทำงานจริงๆ ทางโรงแรมจัดเตรียมที่จะฝึกฝนผมในทุกๆ แผนก ในวันพรุ่งนี้ (ถ้ามีเวลา) ผมคงได้มีโฮกาสมาแบ่งปันประสบการณ์การทำงานและฝึกงานกับทางโรงแรม The Dewa PHuket อีกครั้ง วันนี้ผมเลิกงานประมาณหกโมงเย็น บรรยากาศของคนที่นี่น่ารักมากๆ คนใต้เป็นคนพูดเร็วทำให้บางครั้งผมเองต้องถาม Room Maid สองครั้งขึ้นไปเมื่อโทรมารายงานผมว่ากำลังทำความสะอาดอยู่ที่ห้องไหนและคำว่า บังซึ่งแปลว่า พี่ซึ่งใช้เรียกผู้ชายมุสลิมก็เข้าไปอยู่ในใจผมนับแต่ได้สัมผัสการทำงานที่นี่ อ้อ....ภูเก็ตสวยมากๆ บรรยากาศท้องฟ้า ตัวเมือง ทะล และชายหาดทำให้ผมคิดว่าถ้าวันไหนมีโอกาสจะขอซื้อคอนโดที่นี่สักห้อง....

บันทึกวันที่ 6 สิงหาคม 2555
เวลา 20:22 น.

Sunday, August 5, 2012

บันทึก ณ ภูเก็ต (ตอนที่ 1)



   ภูเก็ต เกาะเล็กๆ ทางฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย เมืองที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากเป็นอันดับสองของประเทศและเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในประเทศไทย ที่นี่ก๋วยเตี๋ยวชามละ  50 บาท ส้มตำครกละ 40 บาท ห้องพักเริ่มต้นที่ 3,500 – 4,000 บาท ค่าโดยสารขึ้นอยู่กับระยะทางเฉลี่ยอยู่ที่ 20-30 บาท ตัดผมชาย 100 บาท แต่ที่นี่ก็เป็นเมืองที่ให้โอกาสแก่ผู้อยู่อาศัยได้มากเช่นกัน รายได้เฉลี่ยต่อคนอยู่ที่วันละ 1,000 – 3,000 บาท ตัวอย่างพนักงานขับรถโดยสาร คิดหัวละ 20 – 30 บาท ผู้โดยสารต่อรอบเฉลี่ยอยู่ที่ 20 คน รอบหนึ่ง (ไป กลับ) อยู่ที่ 800 – 1,200 บาท วิ่งสิบรอบก็มีรายได้อยู่ที่ 8,000 – 12,000 บาทต่อวัน  ด้วยธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการที่เติบโตอย่างมากทำให้ภูเก็ตขาดแคลนแรงงานประมาณ 3,000 ตำแหน่ง (ยังไม่รวมตำแหน่งของผู้ใช้แรงงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานชาวพม่า) ร้านสะดวกซื้อขึ้นชื่อของที่นี่คือ ร้าน Super Cheap เป็นแบรนด์ท้องถิ่นซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดและราคาสินค้าก็ถูกกว่าร้าน  7-11 ที่ภูเก็ต มีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากที่หลงไหลความสวยงามของบรรยากาศและธรรมชาติของที่นี่ บางคนตัดสินใจซื้อบ้านอยู่ในราคาเป็นหลายสิบล้าน บางคนมาเช่าโรงแรมอยู่หลายเดือนและบางคนก็สำมะเลเทเมาไปทั่วเกาะ และที่เมืองนี้ก็มีเรื่องเล่าทั้งในด้านมืดอยู่มากมาย ส่วนจะเป็นอะไรบ้างนั้นเดี๋ยววันหลังผมจะนำมาเล่าให้ฟัง

   จากการได้มาอยู่ที่ภูเก็ตประมาณหนึ่งอาทิตย์ ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าธุรกิจท่องเที่ยวในภูเก็ตทำให้ผู้คนที่นี่ทำมาหากินได้อย่างแสนสะดวกและรายได้เฉลี่ยก็สูงกว่าที่จังหวัดอื่นๆ คนภูเก็ตจึงเป็นคนมีฐานะและที่สำคัญไข่มุกอันดามันแห่งนี้เป็นเมืองที่ขาดแรงงานชาวพม่าไม่ได้อย่างแน่นอนเพราะถ้าวันหนึ่งชาวพม่าหลายหมื่นคนรวมตัวกันหนีกลับบ้านผมเชื่อได้ว่าธุรกิจหลายธุรกิจต้องสะดุดอย่างแน่นอน

บันทึกวันที่ 5 สิงหาคม 2555
เวลา 08:30 น.

Monday, July 2, 2012

สิ่งที่ยากกว่า การ "นับหนึ่งใหม่" คือ.. ทำอย่างไร ??.. ให้ "ลืมสิ่งที่เคยนับมา"



10 เมษายน 2552

สถานที่: โรงอาหารแห่งวิทยาลัยนานาชาติแห่งหนึ่ง
ตัวละคร : ชายหนุ่มนักศึกษาปี 4, เด็กสาวพยาบาลปี 2

จุดเริ่มต้นของคำว่ารัก

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยของผม อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์แล้ว นักศึกษาชั้นปีอื่นคงตื่นเต้นดีใจไม่น้อยที่จะได้เตรียมตัวกลับบ้านหรือไปท่องเที่ยวกัน แต่สำหรับผมและนักศึกษาปีสี่อีกหลายคนกำลังวุ่นวายกับการเตรียมตัวสอบ การเคลียร์งานทั้งหมดที่ค้างคาและการออกหางานอันแสนวุ่นวายใจ ผมถือกล้องดิจิตอลคอมแพ็คตัวโปรดกำลังเก็บภาพอยู่ภายในโรงอาหารของวิทยาลัย ระหว่างที่ถ่ายรูปอยู่นั้น ผมบังเอิญกวาดสายตาไปเห็นเด็กสาวน่ารักคนหนึ่งกำลังนั่งทานอาหารอยู่ตรงโต๊ะตรงข้าม สี่ซ้าห้าปีของการใช้ชีวิตนักศึกษาอยู่ ณ วิทยาลัยหลังเขาแห่งนี้ ผมไม่เคยเผลอใจสักนิดที่จะไปหลงรักใครเมื่อแรกพบเห็น ความรู้สึกของผม ณ เวลานั้นคือจะทำยังไงให้ได้รู้จักเธอคนนี้ ผมหยิบกล้องขึ้นตั้งฉากในระดับสายตา ปรับซูมมุมเล่นส์ กดชัตเตอร์ค้างไว้เพื่อปรับแสงให้พอดีกับใบหน้านวลของเธอก่อนกดแชะไปสองสามรูป เธอหันมามองผมด้วยแววตาสงสัย แต่ผมแสร้งหันไปถ่ายรูปมุมอื่นอย่างเขินอายเล็กน้อย....

18 เมษายน 2552

สถานที่: ล็อบบี้เลานจ์หอชายหนึ่ง
ตัวละคร: ชายหนุ่มนักศึกษาปี 4, เด็กหนุ่มนักศึกษาปี 2

ความในใจที่เปิดเผย

รูปของพี่ใบนั้นผมให้น้องเค้าไปแล้วนะ น้องเค้าชื่อ....(วงเล็บไว้ในฐานที่เข้าใจ) ดูเหมือนเค้าจะชอบรูปที่พี่ถ่ายให้นะ
เด็กหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ นั่งลงตรงโซฟาหน้าทีวีพร้อมเปิดร้อยยิ้มกว้างและรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับน้องคนที่ผมถ่ายรูปไว้ที่โรงอาหารทันที หลังจากถ่ายรูปใบนั้นแล้ว ผมรีบไปปริ๊นท์ที่ห้องสมุดของมหาลัย ผมบอกกับพี่ที่ปริ๊นท์ให้ว่าผมของเป็นรูปขาวดำนะเพราะมันสื่อถึงความเป็นธรรมชาติ พี่แกก็โปรยยิ้มบนใบหน้าแล้วเอ่ยแซวผมในที่สุด
มีเบอร์น้องเค้ามั้ย
มีครับ นี่ครับพี่
เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นแฟนกับเพื่อนน้องคนที่ผมกำลังแอบรัก เมื่อได้เบอร์มาผมก็รีบโทรหาเธอทันที.....แล้วเมื่อเวลาผ่านไปเราก็รู้จักกันมากขึ้น....จนเริ่มสนิทใจกัน

17 พฤษภาคม 2552

สถานที่ : สแตนด์เชียร์ตรงสนามฟุตบอลของวิทยาลัย ตรงข้ามตึกสโมสรนักศึกษา
ตัวละคร: ชายหนุ่มนักศึกษาปี 4, เด็กสาวพยาบาลปี 2

ความรักที่แตกหน่อ

ภายใต้ท้องฟ้าที่ดารดาษด้วยหมู่ดาวพราวแสง ลมเย็นพัดพลิ้วผ่านมาระลอกแล้วระลอกเล่า ทำให้รู้สึกเย็นสบายเป็นที่สุด หลังจากรับปริญญาผ่านไปแล้วผมก็ตัดสินใจไปทำงานที่กรุงเทพฯ ภายหลังเอากระเป๋าเสื้อผ้าไปเก็บไว้ที่หอพักใหม่เรียบร้อย ผมก็รีบจับรถตู้ตะบึงสู่วิทยาลัยแห่งนี้ทันที และในค่ำคืนนี้ผมก็ได้มานั่งคุยกับเด็กสาวยพราวยิ้มในรูปภาพใบนั้นแล้ว....เรานั่งคุยกันอยู่ตรงสแตนด์เชียร์ฝั่งตรงข้ามตึกสโมสรนักศึกษาจนถึงตีสองก่อนที่จะพากันกลับเข้าหอพักด้วยความสดใสร่าเริง

กลางปี พ.ศ. 2552 – มิถุนายน 2555


ความสดใสในวันวาน

สถานที่ : ทะเล ขุนเขา ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารฟาสฟู๊ด ลานเบียร์ ร้านกาแฟ รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าใต้ดิน แอร์พอร์ตลิงค์ สนามบินสุวรรณภูมิ โรงหนัง ร้านหนังสือ ร้านเครื่องสำอาง ซูเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ
ตัวละคร: ชายหนุ่มวัยทำงาน, เด็กสาวพยาบาล พยาบาล ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง

นับจากเวลานั้นมา ความสัมพันธ์ของผมกับเด็กสาวพยาบาลคนนั้นก็แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เราแบ็คแพคไปท่องเที่ยวทะเลและภูเขา สัมผัสกลิ่นแดด ไอฝน และความชุ่มฉ่ำของน้ำค้างในฤดูหนาว ช็อปปิ้ง อิ่มอร่อยไปกับอาหารรสเด็ด เพลิดเพิลนไปกับการดูหนัง หัวเราะคิกคักบนรถไฟฟ้า และอบอุ่นไปกับร้านกาแฟสุดโปรดและค่ำคืนวันปีใหม่ที่งดงามไปด้วยแสงไฟตลอดเส้นถนน ผมสัญญากับเธอว่าถ้าวันไหนยังมีเธออยุ่ ณ เมืองนี้ ผมจะไม่ไปไหน แต่ถ้าวันไหนแล้วผมไม่มีเธออยู่ด้วย ผมก็จะเดินทางออกจากเมืองนี้ไปอย่างไม่ลังเลใจ ผมรักเธอจนผมต้องนอนร้องให้ในค่ำคืนที่ต้องอยู่เพียงลำพัง....

กรฏาคม พ.ศ. 2555


จุดเริ่มต้นของความเหงา

สถานที่ : ห้องสี่เหลื่ยมในอพาร์ทเม้นย่านพระโขนง
ตัวละคร: ชายหนุ่มวัยทำงาน

สองอาทิตย์แล้วที่เราดูห่างเหินกันไปมาก ยิ่งเมื่อวานกับวันนี้แล้วยิ่งทำให้ผมกระวนกระวายใจเป็นที่สุด ผมสับสน ฟุ้งซ่าน กินไม่ได้ นอนไม่หลับ และโมโหง่าย  ผมติดต่อเธอไม่ได้ เธอเงียบหายไป สายฝนที่โปรยลงมาคือเม็ดฝนหรือหยาดน้ำตา มันเต็มใบหน้า และหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียงนอนอันยับยู่ยี่ เมื่อติดต่อเธอได้และได้ยินคำว่า ห่างกันสักพัก มันทำให้ผมเห็นโลกใบนี้หยุดหมุน ไม่มีคลื่นเสียงใดๆ ผ่านเข้ามาในโสตประสาทของผม เหมือนโลกใบนี้ได้ดับสูญสิ้นไปแล้ว

เมื่อก่อนโลกยังเป็นสีขาว
เต็มไปด้วยสายหมอกแห่งความฝัน
ระเรี่ยผ่านตัว สูดไอหมอกแห่งความฝันเข้าเต็มปอ
ทุกอย่างเต็มไปด้วยจินตนาการ

เมื่อก่อนโลกเต็มไปด้วยสีชมพู
ฉันเกลือกกลิ้งลงสนามหญ้าสีชมพู
นอนแผ่หราแหงนหน้ามองดูฟ้า
ฟ้า..ก็เป็นสีชมพู
กระซิบบอกสายลม
กระซิบบอกรอบๆ ตัวเอง
ด้วยใจที่อิ่มเอิบและเป็นสุข

เมื่อก่อนโลกรายล้อมด้วยสีเขียว
ทุกอณูบนโลกเป็นสีเขียว
หอมกลิ่นดิน และดอกหญ้า
สูดโอโซนอย่างสดชื่น
ครั้งแล้วครั้งเล่า

วันนี้เมฆฝนปิดบังมัว
ดูสลัวขุ่นข้องใจ
ความฝันที่คิดไว้
สลายไปกับสายลม

สิ่งที่ยากกว่า การ "นับหนึ่งใหม่" คือ.. ทำอย่างไร ??.. ให้ "ลืมสิ่งที่เคยนับมา"




Saturday, June 30, 2012

ตะลุยแหล่งกาแฟบนดอยสูงและการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ตอนที่ 1

 ผมชอบประโยคของ Theodore Bikel ที่กล่าวว่า "คุณไม่สามารถคาดหวังให้โลกทั้งใบเดินทางมาหาคุณได้หรอก คุณต้องออกเดินทางไปหามันเอง" ผมว่านี่แหละคือความจริงของการเดินทาง 


     จุดประสงค์ในการเดินทางครั้งนี้คือการออกค้นหาแหล่งปลูกชาและกาแฟบนยอดดอยสูงทางภาคเหนือของประเทศไทย โดยเป้าหมายที่เราวางกันไว้คือดอยแม่สลอง ดอยช้าง ดอยวาวี และโครงการดอยปู่หมื่นบนยอดเขาผ้าห่มปกหรือฟ้าห่มปก ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของการเดินทางในครั้งนี้ แต่การเดินทางในบางครั้งเราก็มักพบเจออะไรแปลกๆ ใหม่ๆ อยู่เสมอและทุกเส้นทางของการก้าวเดินก็ล้วนมีอุปสรรคอยู่มิใช่น้อย เอาละ...ผมจะขอเริ่มต้นเล่าถึงการเดินทางในครั้งนี้นับแต่วันแรกของการสะพายเป้ใบเขื่องออกจากบ้านไปเลยทีเดียว...






     ในเช้าวันพุธอันแสนวุ่นวาย ใครต่อใครกำลังแย่งกันขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน ติดแหงกอยู่บนท้องถนนหรือกำลังวุ่นวายใจกับงานที่ต้องทำในวันนั้น แต่สำหรับผมและทีมงานอีกสองสามคนกลับเดินสวนทางกับผู้คนส่วนใหญ่ พวกเราสะพายเป้ใบเขื่อง รองเท้าผ้าใบสีเก่า กางเกงขาดๆ และเสื้อยีนส์สีซีดออกจากเมืองนี้ แล้วมุ่งหน้าสู่ภาคเหนือตอนบนของประเทศเพื่อออกค้นหาแหล่งปลูกชาและกาแฟบนยอดดอยสูง ในหน้าฝนเช่นนี้น้อยคนนักที่จะออกเดินทางไกล เนื่องจากการเดินทางในช่วงฤดูฝนนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคต่างๆ มากมาย เช่น ฤดูฝนไม่มีวันหยุดยาวเหมือนช่วงฤดูกาลอื่นๆ หรือเพราะความยากลำบากอันเกิดจากเม็ดฝนโปรยก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการเดินทางด้วยเช่นกัน


วันที่หนึ่ง : การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์กับชุมชนบ้านนาแหลม จังหวัดแพร่



  
     พวกเราใช้เวลาราว 7 ชั่วโมงเศษก็เดินทางมาถึงจังหวัดแพร่ จุดแรกของการเดินทางคือการออกสำรวจเส้นทางปั่นจักรยานในชุมชนบ้านนาแหลม แพร่เป็นเส้นทางที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มองข้ามเพราะเมืองเล็กๆ แห่งนี้ถูกมองว่าเป็นแค่เส้นทางผ่านของการเดินทางเท่านั้น แม้แต่บริษัททัวร์หลายบริษัทก็ยังลังเลใจที่จะลิสต์เมืองนี้ลงไปในโปรแกรมทัวร์ หรือบางแห่งก็จัดไว้ในโปรแกรมที่เรียกว่า Optional Program เท่านั้นเอง ที่บ้านนาแหลมแห่งนี้เรามีโอกาสได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตท้องถิ่นของชาวชุมชนได้อย่างแท้จริง เราเริ่มต้นเส้นทางปั่นจักรยานที่บ้านทำอิฐของพี่ตู่ ตามด้วยบ้านทำข้าวแต๋นที่บ้านพี่ทิพย์ เจ้าของบ้านเล่าว่าทุกครั้งที่นักท่องเที่ยวฝรั่งตาน้ำข้าวปั่นจักรยานมาถึงบ้านก็มักจะบิดกล้วยน้ำว้าที่พี่ิทิพย์แขวนไว้ หน้านบ้าน จัดการปอกเปลือกเสร็จสรรพก็จับเข้าปากเคี้ยวกันหนุบหนับกลืนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย กล้วยน้ำว้านับเป็น Signature หรือผลไม้สุดโปรดของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติไม่แพ้ข้าวแต๋นเลยทีเดียว จากนั้นพวกเราก็มุ่งหน้าต่อไปที่บ้านลุงสมเพื่อดูการทำกระติ๊บข้าวเหนียวแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน ลุงสมแกขายใบละ 50 บาทแต่ถ้าขายให้กับฝรั่งราคาก็จะขึ้นไปที่ใบละ 100 บาท  เราเดินทางต่อไปที่ร้านทำผ้าบาติกโดยเจ้าของเป็นหนุ่มใหญ่นามว่าพี่ช้าง ผ้าบาติกที่นี่มีการส่งออกไปต่างประเทศด้วยและมีการลงในนิตยสาร Fashion Review เช่นกัน พี่ช้างเล่าให้ฟังว่าหลังจากเรียนจบแกก็นำความรู้ด้านนี้มาทำธุรกิจที่บ้านเกิด เริ่มแรกก็มีปัญหาแต่ด้วยใจรักทำให้ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มาได้เกือบ 24 ปี และตอนนี้พี่ช้างก็สนุกไปกับออร์เดอร์สินค้าที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องจนทำแทบไม่หวาดไม่ไหว และบางครั้งพี่ช้างก็ไปออกงานที่อิมแพ็คเมืองทองธานีด้วย






    ก่อนตะวันลับเหลี่ยมภูผา เราแวะดูการตีมีดตีเคียวที่บ้านร่องฟอง ทางคนงานเล่าให้เราฟังว่าออร์เดอร์สินค้าส่วนใหญ่มาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าและเวียดนาม เป็นต้น ระหว่างการเดินชมในโรงงานเล็กๆ แห่งตำบลนี้เราเห็นคนงานกำลังวุ่นหน้าเป็นมันอยู่กับการทำลาบพื้นบ้าน กลิ่นหอมของลาบในกะทะใบใหญ่แตะจมูกของพวกเราจนท้องร้องจ๊อกๆ จนต้องรีบกลับเข้าที่พักแล้วตะบึงรถไปทานข้าวกันที่ร้านอาหารมัจฉาพาโชคซึ่งเป็นร้านอาหารที่มีบ่อตกปลาให้บริการกับลูกค้าที่สนใจด้วย บรรยากาศของร้านในยามที่ตะวันลับฟ้าไปแล้วดูเงียบสงบ มีเสียงเพลงขับกล่อมอยู่เบาๆ พร้อมสายลมที่พัดพรูผ่านมาอยู่เป็นระยะทำให้บรรยากาศของการทานอาหารมื้อเย็นในวันนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชนบทชวนให้เราเพลิดเพลินกับการทานอาหารอยู่นานพอควร...


ติดต่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางจักรยานและการเช่าจักรยานได้โดยตรงจากคุณ เรืองโรจน์ หัวหน้ารปภ. โรงแรมแม่ยมพาเลสหรือโทรสอบถามได้ที่ 


โรงแรมแม่ยมพาเลส 


โทร. 054-522904
email: wccphrae@hotmail.com


วันที่สอง : ตะลุยเชียงแสน (วันที่ 1)


    เริ่มต้นในเช้าวันใหม่ พวกเราเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมแม่ยม พาเลส เพื่อมุ่งหน้าสู่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ก่อนเดินทางออกจากแพร่ พวกเราแวะเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ไม้สักซึ่งครั้งหนึ่งเึคยเป็นสำนักงานของบริษัท East Asiatique จากเดนมาร์ก ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เราจะเห็นรูปภาพบันทึกเรื่องราวในอดีตของการทำไม้และการค้าขายไม้รวมทั้งไม้สักที่กลายเป็นหิน จากนั้นพวกเราก็ไปเยี่ยมชมบ้านวงศ์บุรีหรือคุ้มวงศ์บุรีซึ่งเป็นบ้านของเจ้าพรหม ผู้สืบเชื้อสายมาจากอดีตเจ้าเมืองแพร่ ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์และถูกใช้เป็นฉากหนึ่งในละครเรื่องรอยไหมทางช่อง 3 และที่สุดท้ายที่พวกเราแวะคือบ้านหม้อห้อมป้าเหลือง ในหมู่บ้านทุ่งโฮ้ง ซึ่งเป็นหมู่บ้านผลิตเสื้อหม้อห้อมที่ขึ้นชื่อมากที่สุดในจังหวัดแพร่ ป้าเหลืองอธิบายให้พวกเราฟังว่า คำว่าหม้อห้อม (ซึ่งบางที่ก็เขียนว่า หม้อฮ่อม ป้าเหลืองแกบอกว่าคำที่ถูกต้องที่สุดคือหม้อห้อม) มาจากการนำเอาพืชล้มลุกชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า ห้อม นำไปหมักในหม้อตามกรรมวิธี แล้วเมื่อนำมาย้อมผ้าดิบให้เป็นสีน้ำเงินจึงเรียกกันว่าผ้าหม้อห้อม พวกเราสังเกตเห็นรูปภาพสมเด็จพระเทพทรงเสด็จมาเยี่ยมชมบ้านหม้อห้อมป้าเหลืองด้วยเช่นกัน



     เราออกจากแพร่เมื่อตะวันคล้อยมาอยู่ที่ 45 องศา แดดเริ่มเปล่งรัศมีแรงขึ้น แต่อีกฟากฟ้าหนึ่งที่ทอดไกลออกไป เริ่มมีเมฆฝนก่อตัวขึ้นมาบ้างแล้ว และ ณ ที่แห่งนั้น คือจังหวัดพะเยานั่นเอง


   เราใช้ถนนเส้น 103 ที่ลดเลี้ยวเคี้ยวคดขึ้นเขาลงเขามุ่งหน้าสู่จังหวัดพะเยา ประมาณ 2 ชั่วโมงพวกเราก็เดินทางมาถึงกว๊านพะเยา และเมื่อได้สัมผัสถึงเวิ้งน้ำที่ไกลสุดลูกหูลูกตาทอดแน่นิ่งสงบอยู่เบื้องหน้าพร้อมทัศนียภาพอันสวยงามโดยรอบก็ทำให้ผมและทีมงานต่างรีบลงจากรถและยืนสูดอากาศยามสายก่อนบ่าย ณ ทะเลสาบน้ำจืดแห่งนั้นเข้าเต็มปอดเต็มก้อนก่อนจะพากันไปนั่งทานอาหารเที่ยงที่ร้านใกล้ๆ


  ตกบ่ายพวกเราก็ห้อตะบึงมุ่งสู่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ระหว่างทางแวะชมวัดร่องขุ่นซึ่งออกแบบและสร้างโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เป็นอีกหนึ่งวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาและมีการก่อสร้างแต่งเติมอยู่ตลอดเวลา ระหว่างรอทีมงานเพื่อขึ้นรถออกเดินทางต่อ ผมแอบเห็นเสื้อที่วางขายอยู่หน้าวัดมีข้อความแสบๆ คันๆ สกรีนไว้หน้าเสื้อว่า "ดูหญิงห้ามดูแบบภูมิศาสตร์ ให้ดูแบบประวัติศาสตร์ว่าเสียเอกราชมาแล้วกี่ที"....






   และแล้วพวกเราก็เดินทางมาถึงอำเภอเชียงแสนก่อนตะวันลาลับฟ้า ระหว่างเส้นทางเราเจอฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนักแต่เมื่อมาถึงที่สามเหลี่ยมทองคำแล้ว เม็ดฝนก็ซาเซาไปในทันที นับว่าเป็นปฏิหารย์ของการเดินทางในครั้งนี้ก็ว่าได้