Saturday, November 24, 2012
บันทึกห้วงอารมณ์แห่งความคิดถึง (ตอนจบ)
เที่ยงวันนั้นเราสองคนไปทานอาหารจีนยูนนานที่หมู่บ้านรักไทยซึ่งอยู่ห่างจากปางอุ๋งประมาณ 7 กิโลเมตร ก่อนจะขับมอเตอร์ไซด์มุ่งหน้าสู่อำเภอปาย ดินแดนแห่งรัก
ด้วยระยะทาง 111 กิโลเมตรจากอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนสู่อำเภอปาย ถนนคดเคี้ยวไปตามไหล่เขาราวงูที่กำลังเลื้อยไปมา นี่เป็นครั้งแรกของผมที่ได้ขับมอเตอร์ไซด์ด้วยระยะทางที่ไกลที่สุด ระหว่างทางผมแอบมองเธอผ่านกระจกอยู่บ่อยครั้ง ตลอดระยะเวลาสองชั่วโมงของการขับรถบนถนนที่โหดที่สุดเส้นหนึ่งของเมืองไทย ผมเต็มไปด้วยความสุขและความหวังใหม่
ที่อำเภอปายเธอพาผมเข้าไปสอบถามราคาห้องพักที่เกสท์เฮ้าส์เล็กๆ ริมฝั่งน้ำปายแห่งหนึ่ง เจ้าของเป็นชายหนุ่มผมยาว ตัวผอมกะหร่องราวพวกติสท์แตก เธอเอ่ยถามห้องพักเป็นภาษาอังกฤษก่อนจะเดินไปดูห้องและมีการต่อรองราคากันเกิดขึ้น เธอบอกผมเสมอว่าคนจีนชอบต่อราคาและเธอก็สนุกกับการได้เล่นเกมนี้ แต่สำหรับเกมนี้ชายหนุ่มคนนั้นกลับไม่ยอมแพ้ลดราคาห้องให้และเสนอให้ไปดูอีกห้องหนึ่งในราคาที่ถูกกว่า ระหว่างเดินชมห้องอยู่นั้น หนุ่มผมยาวเจ้าของเกสท์เฮ้าส์เอ่ยถามผมว่า 'แฟนน้องเค้าจะชอบหรือเปล่า' ผมรู้สึกหัวใจพองโตและคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยด้วยความกระหยิ่มใจที่ใครหลายคนต่างก็มองว่าเราเป็นคู่รักกัน ผมก็แสร้งตอบไปว่า 'ไม่แน่ใจครับพี่' จากนั้นผมก็หันไปมองหน้าสาวหมวยคนนั้นเพื่อขอคำตอบและเธอก็บอกว่าจะพาผมไปดูรีสอร์ทที่เคยพักก่อนเดินทางไปที่ปาย
เราขับมอเตอร์ไซด์ออกมาจากตัวเมืองอีกเล็กน้อยและก็ขับไปจอดที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งบนเนินเขา รีสอร์ทแห่งนั้นแบ่งห้องพักออกเป็นสองส่วนในราคาที่ต่างกัน ในส่วนที่ห้องราคาถูกนั้นมีคนเข้าพักเต็มหมดแล้วเหลือเพียงห้องพักราคา 700 บาทเท่านั้น และดูเหมือนเธอจะชอบที่นี่ไม่น้อยจึงทำให้หญิงสาวแบ็กแพ็คเกอร์คนนี้ตัดสินใจต่อราคาจนผู้ดูแลรีสอร์ทอ่อนใจลดเหลือเพียงห้องละ 400 บาทและเธอก็ถามผมว่า
'คุณพอใจกับห้องนี้มั้ย เดี๋ยวเราแชร์ก้น' ให้ดิ้นตายเหอะ การได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังจะไม่ให้ผมพอใจได้เชียวหรือ ผมก็ตอบเธอไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างมาดผู้ดี
เราเข้าพักห้องดังกล่าว เป็นห้องใหญ่ พักได้สามคน เมื่อเก็บกระเป๋าเข้าที่แล้วเราก็ขับมอเตอร์ไซด์เข้าไปในตัวเมืองเพื่อจะเอามอเตอร์ไซด์ของเธอไปคืนที่ร้านเช่ามอเตอร์ไซด์ชื่อดังของเมืองนี้ พอธุระทั้งหมดเสร็จสรรพเราก็เดินเล่นไปตามถนนคนเดิน...
ปายเป็นเมืองเล็กๆ ที่เหมาะกับนักเดินทางสะพายเป้มากที่สุด เมืองเล็กๆ แห่งนี้ดูสงบในตอนกลางวันและครึกครื้นเมื่อตะวันลับเหลี่ยมภูเขาและความมืดเข้ามาเยือน ระหว่างที่เดินกันอยู่นั้นนักเดินทางสาวชาวจีนคนนี้ก็ได้พบกันเพื่อนของเธอคนหนึ่งที่เจอกันที่ปายในวันแรกที่เธอมาพักที่นี่ เพื่อนเธอคนนี้ก็เดินทางมาที่ปายเพียงลำพังและพักอยู่ที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้สองอาทิตย์แล้ว ทั้งสองไม่ได้รู้จักกันมาก่อนและไม่ได้มาจากเมืองเดียวกัน เมื่อพูดคุยและแนะนำกันและกันแล้วเราก็เดินไปทานอาหารเย็นที่ร้าน Na's Kitchen ก่อนแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางระหว่างกันและกัน พอทานอาหารเสร็จผมก็ขับมอเตอร์ไซด์ไปส่งเพื่อนของเธอที่เกสท์เฮ้าส์ที่อยู่ไม่ไกลจากถนนคนเดินมากนักก่อนที่ผมกับสาวนักเิดินทางจากกวางโจวที่เดินทางมาด้วยกันตลอดเกือบสามวันจะขับมุ่งหน้าสู่ที่พักของเราท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นจนคนซ้อนท้ายต้องทำปากสั่นเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากผมทันที
เมื่อเข้าสู่ที่พัก ความสับสนก็เกิดขึ้น แต่ผมไม่เคยให้ความรักมีอิทธิพลเหนือกามารมณ์ หลังจากอาบน้ำและต่างก็เอนตัวลงบนเตียงที่แยกจากกัน ผมก็เริ่มพูดคุยกับเธอไปเรื่อยเปื่อยก่อนตัดสินใจเอ่ยบอกความรู้สึกในใจให้กับเธอ....
รุ่งเช้าของวันใหม่ ผมตื่นขึ้นมาชงกาแฟแล้วไปนั่งบันทึกเรื่องราวการเดินทางตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาอยู่หน้าห้องพัก อากาศหนาวเย็นยิ่งนัก หมอกขาวโพลนลอยอ้อยอิ่งไปทั่วบริเวณ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้พบเจอเธอ ผมไม่อยากให้เวลาหมุนผ่านไปเลย ระยะทางจากเเม่ฮ่องสอนไปสู่ประเทศมหาอำนาจของโลกอย่างจีนแผ่นดินใหญ่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ใครสักคนจะเดินทางไปถึง ผมบ้าไปแล้ว บ้าเพราะความหลงในกลิ่นกายและความสุขที่กรุ่นกลิ่น เมื่อต้องจากลากันสิ่งสุดท้ายที่พอเป็นช่องทางให้สามารถติดต่อกันได้ก็เป็นเพียงการพิมพ์ผ่านเจ้า Wechat แอปปลิเคชั่นยอดนิยมของหนุ่มสาวชาวจีน และคงจะด้วยการส่งอีเมล์หากันเท่านั้น ผมถามเธอว่าทำไมไม่ใช้ Facebook เธอตอบผมว่าที่เมืองจีนรัฐบาลเค้าไม่ให้ใช้เว็บพวกนี้ เช่น Facebook Youtube เป็นต้น เว็บโซเชียลมีเดียของที่โน่นคือ Sina Weibo ที่เป็นภาษาจีนล้วนๆ ....ผ่านไปแล้วกับความทรงจำแห่งความหวังใหม่ เรื่องราวของการเดินทางของหญิงสาวจากแดนไกลที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผมเพียงเวลาสั้นๆ ราวหมอกยามเช้าที่จางจากในยามสาย ผมขับมอเตอร์ไซด์ย้อนกลับเส้นทางเดิมด้วยน้ำตาคลอเบ้า ในโลกกว้างใบนี้เมื่อมีพบก็มีจาก เมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าในรุ่งเช้าใหม่ชีวิตเราย่อมมีหวังเสมอ
ผมเชื่อตลอดเวลาว่า 'โลกนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ถ้าไม่ออกเดินทางก็ไม่มีวันค้นพบ'
อ่านตอน 1 http://watdocumentaries.blogspot.com/2012_11_23_archive.html
อ่านตอน 2 http://watdocumentaries.blogspot.com/2012/11/2.html
บันทึก 25 พฤศจิกายน 2555
ในตรู่เช้าแห่งกาลต้นหนาว
แดนดิน
บันทึกห้วงอารมณ์แห่งความคิดถึง (ตอนที่ 2)
ผมนอนหงายมือทาบอกทั้งสองข้าง ปล่อยความคิดไหลไปเรื่อยเปื่อยอย่างคนบ้า ความเงียบคลอบคลุมไปทั่วบริเวณ เงียบจนได้ยินเสียงลมหนาวพัดพรูหวิดหวิว ความเงียบและความฟุ้งซ่านทำให้ผมมิอาจข่มตาหลับได้และยิ่งทับถมความวุ่นวายในใจให้มากยิ่งขึ้น ผมจึงหันข้างไปทางเต๊นท์ของหญิงสาวแล้วเอ่ยถามชวนคุยเธอต่างๆ นานา จวบจนเธอหลับไป....สำหรับผมแล้วความรักมีอิทธิพลสูงกว่ากามารมณ์ แต่ถึงกระนั้นการพบกันเพียงไม่กี่วันผมควรจะเรียกว่า 'รัก' ได้อย่างไร ความรักมันเกิดขึ้นได้เพียงเวลาสั้นๆ เท่านั้นหรือ ถ้านี่ไม่ใช่ความรักผมควรจะเรียกอาการเช่นนี้อย่างไรดี นั่นคือปมที่ขมวดอยู่ในห้วงความคิดแห่งรัติกาลของสายลมหนาว....
ผมไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน ตื่นขึ้นมาอีกทีตอนได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกตอน 6 โมงเช้า ผมสลัดผ้าห่มไปกองตรงปลายเท้าก่อนรีบควานหาไฟฉายข้างกายเพื่อเปิดค้นหาผ้าเช็ดตัวกับ ชุดทำความสะอาดฟัน (ผมเรียกมันเช่นนั้น) แล้วเปิดซิบเต๊นท์นอนออกมาสูดอากาศยามเช้าที่ยังสลัวและขมุกขมัวด้วยม่านหมอกขาวโพลน หญิงสาวในเต๊นท์ข้างๆ ส่งเสียงงัวเงียออกมาจากเต๊นท์ถามว่ากี่โมงแล้ว ผมอยากให้เธอรีบลุกขึ้นมาเร็วไวก็รีบตอบกลับไปว่าสายแล้ว หมอกกำลังสวยได้ที่ให้รีบลุกมาถ่ายรูปกัน ผ่านไปสักพักเธอก็ออกมาจากเต๊นท์นอน ผมเห็นเข้าก็ส่งยิ้มให้ เธอดูขัดเขินเล็กน้อยก่อนเอ่ยทักทายสวัสดียามเช้าแล้วส่งเสียงตะลึงงันกับภาพของหมอกที่ลอยระเรี่ยเหนือผิวน้ำและโอบล้อมเราไว้ทุกทิศ
เช้านั้นเราถ่ายรูปบรรยากาศปางอุ๋งที่อบอวลด้วยไอหมอกท่ามกลางป่าสนสองใบที่พลิ้วไหวไปตามสายลมหนาว เราสองเดินจากมุมนี้ไปมุมโน้น จากฟากฝั่งหนึ่งไปสู่ฟากฝั่งที่ไกลออกไป เธอขอให้ผมถ่ายรูปของเธอโดยจัดฉากให้ตัวเธอเดินไปบนถนนเส้นเล็กๆ ที่มีหมอกกลุ่มหนึ่งเป็นกำแพงอยู่ด้านหลังและด้านข้างก็เป็นผืนน้ำที่มีละไอหมอกพรั่งพรูขึ้นมาและเธอก็เรียกมันว่า 'เส้นทางสู่ดินแดนแห่งมนตรา (Wonderful Land)' สักพักก็มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินผ่านมาเธอจึงขอให้เด็กหนุ่มคนนั้นถ่ายรูปเราสองคน...เรือนผมของเธอสัมผัสตรงไหล่ของผม กลิ่นหอมจากปอยผมของคนที่ยืนชิดอยู่ข้างๆ ก็วิ่งเป็นเส้นเป็นสายเข้าไปในจมูกทั้งสองรูของผมแล้วเข้าไปปั่นป่วนในใจของผมให้อยากโอบกอดเรือนร่างของหญิงสาวข้างๆ มากยิ่งขึ้น ให้ดิ้นตายเหอะ...ผมกำลังจะกลายเป็นพันธุ์หมาบ้าไปเสียแล้ว.....
อ่านตอนที่ 1 http://watdocumentaries.blogspot.com/2012_11_23_archive.html
Friday, November 23, 2012
บันทึกห้วงอารมณ์แห่งความคิดถึง (ตอนที่ 1)
ในเย็นหนึ่งของวันวาน เราขับมอเตอร์ไซด์มุ่งหน้าสู่ทะเลสาบแห่งเทพนิยายอันลือชื่อของเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ เราขับผ่านเนินเขาและท้องทุ่งท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น หญิงสาวกับเป้ใบเขื่องและมอเตอร์ไซด์ที่วิ่งตามหลังอยู่นั้นทำให้ผมอดเผยยิ้มบางๆ ผ่านกระจกหน้ารถเสียมิได้ เราสองพบกันเมื่อเย็นวันก่อน เมื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวการท่องเที่ยวระหว่างกันอย่างถูกคอ ผมจึงพาเธอตะบึงมอเตอร์ไซด์คนละคันมุ่งหน้าสู่ทะเลสาบแห่งความฝันตามที่เธอปรารถนา
เรามาถึงทะเลสาบเมื่อตะวันใกล้ลับเหลี่ยมภูผา ภายหลังหาเต๊นท์เช่าได้แล้วต่างก็พากันไปถ่ายรูปในหมู่บ้าน หญิงสาวผมยาวตาเล็กหยิบหยีคนนั้นเพลิดเพลินไปกับการถ่ายรูป ร้านขายโปสการ์ดตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทางเดิน เราแวะทานก๋วยเตี๋ยวในร้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง เจ้าของร้านเอาชามาเสิร์ฟให้เราก่อนทานอาหารจานเด็ดของมื้อนั้น...
ตะวันลับฟ้าไปแล้ว ความมืดเริ่มคลี่ตัวโอบล้อมบริเวณโดยรอบ ณ ที่แห่งนี้ไฟยังเข้าไม่ถึง ชาวบ้านจึงใช้เครื่องปั่นไฟแทนซึ่งจะปิดราวสี่ทุ่ม เราสองคนเดินผ่านความมืดของเส้นถนนเล็กๆ ที่ทอดตัวจากหมู่บ้านไปยังลานกางเต๊นท์ของอุทยาน คืนนั้นอากาศหนาวเย็นบาดเยือก นักท่องเที่ยวยังไม่มาก เรานั่งดูดาวและพูดคุยกันอย่างเต็มอิ่ม หลายเดือนที่ผ่านมานั้น ผมวุ่นวายอยู่กับหลายสิ่งหลายอย่างที่ถาโถมเข้ามาอย่างบ้าคลั่งจนไม่สามารถหาเวลาที่จะออกค้นหาแรงบันดาลใจได้เลยแม้แต่น้อย แต่เย็นของวันหนึ่งที่สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนักหน่วง เป็นฝนหลงฤดูในเดือนพฤศจิกายนผมกับได้พบกับนักเดินทางสาวชาวจีนจากกวางโจวคนนี้ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่การค้นหาแรงบันดาลใจอีกครั้ง
ผมว่าเวลาที่เราโตมากขึ้น การที่เราจะเอ่ยบอกคำว่ารักหรือชอบกับใครสักคนมันเป็นที่เรื่องไม่ง่ายเหมือนตอนเป็นเด็กหนุ่มวัยขบเผาะ ผมสงสัยว่าเราจะมีความรู้สึกเช่นนี้กับใครสักกี่คนในชีวิตอันแสนสั้นของเรา ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมทุ่มรักให้กับเด็กสาวคนหนึ่งจนหมดเปลือกแต่ผลของความไว้ใจก็กลายเป็นความขมขื่นที่ผมต้องแบกรับเอาไว้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เด็กสาวคนนั้นก็เหมือนเด็กสาวในเมืองใหญ่ทั่วๆ ไป ที่หวั่นไหวไปตามอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง
เราเข้านอนในเต๊นท์ของตัวเองก่อนน้ำค้างจะพร่างพรมลงมาอย่างหนัก อากาศเริ่มแผ่รังสีความหนาวเย็นมากขึ้น แต่นั่นก็ยังไม่สะทกสะท้านเท่ากลับรังสีและกลิ่นกายของหญิงสาวที่นอนอยู่ในอีกเต๊นท์ที่ห่างกันเพียงหนึ่งศอก.....
Monday, November 19, 2012
สายฝน ลมหนาว และความเหงา
เธอเป็นหญิงสาวชาวจีนจากกวางโจว มาเที่ยวเชียงใหม่และปายเพียงลำพัง ขับมอเตอร์ไซด์จากอำเภอปายฝ่าสายฝนที่หลงฤดูมาตลอดทาง เธอบอกมีร้านขายยาอยู่แถวนี้บ้างไหม ฉันถามเธอว่าเป็นอะไรแล้วเธอก็ยกแขนและขาให้ดูว่าเธอเหมือนจะรู้สึกฟกช้ำจากการขับมอเตอร์ไซด์มาตลอดวันนี้ แม่ของฉันที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รีบเอายาหม่องมาให้แล้วจากนั้นเราก็เริ่มพูดคุยด้วยกันอย่างสนิทใจ
ฉันก็เป็นแค่ใครคนหนึ่งที่ยังมีกิเลส ความเหงามันทำให้ฉันอยากมีเพื่อนไว้คอยพูดคุยด้วย แม่ฮ่องสอนเป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบเสียบางครั้งทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนต้องตัดเวลาเดินทางมาที่เมืองนี้เพื่อไปยังจุดหมายอื่นที่น่าค้นหามากยิ่งขึ้น
ฉันไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่ตลอดช่วงเวลาที่เรานั่งกินข้าว ฟังเพลงขับกล่อมเบา ๆ และเดินลัดเลาะผ่านริมหนองและวัดจองคำจองกลางจนมาถึงที่เกสท์เฮ้าส์ของฉันก็นับว่าชีวิตของฉันในวันนี้ ณ เมืองเล็กๆ อย่างแม่ฮ่องสอนมันดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
ยินดีที่ได้รู้จักนะ Tan Qing
19 พฤศจิกายน 2555
23:21 น.
แดนดิน
Thursday, November 8, 2012
ฉันค้นพบว่าชีวิตในกรุงเทพฯ ช่างเหมาะแก่การมาเที่ยวพักผ่อนมากกว่าที่จะต้องมาใช้ชีวิตอยู่เป็นเดือนเป็นปี
วันนี้เป็นวันที่สองที่ฉันได้มาทำธุระที่กรุงเทพฯ ความรู้สึกเหมือนกรุงเทพฯ ในวันนี้เปลี่ยนไปจากวันที่ฉันใช้ชีวิตทำงานอยู่ที่นี่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างน้อย ความคิดของฉันตกผลึกมากขึ้น คิดอะไรหนักแน่นมากขึ้น ไม่ทำตามอารมณ์หรือความรู้สึกของตัวเองเหมือนเช่นวันวาน และกรุงเทพฯ ก็ยังน่าอยู่ในแง่ของการค้นหาและน่าเบื่อในแง่ของความวุ่นวายของเมือง
วันนี้กรุงเทพฯ มีคำขวัญเหมือนกับจังหวัดอื่นๆ แล้ว ฉันเห็นติดไว้เด่นหราอยู่ตามป้ายรถเมล์ว่า "กรุงเทพฯ ดุจเทพสร้าง เมืองศูนย์กลางการปกครอง วัด วัง งามเรืองรอง เมืองหลวงของประเทศไทย" เห็นแล้วให้รู้สึกว่ากรุงเทพฯ ช่างเป็นเมืองที่น่าอยู่เสียยิ่งกระไร ไม่แปลกที่เมืองฟ้าอมรแห่งนี้จะทำให้ใครต่อใครต่างเข้ามาอยู่อาศัยทำมาหากิน ด้วยหวังว่าเมืองที่รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างมากองไว้อยู่ที่เดียวจะให้โอกาสในชีวิตให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น หลายคนมุ่งมั่นค้นหาความฝันในเมืองศูนย์กลางแห่งนี้ ต่างคนต่างลำบากแต่ก็เต็มไปด้วยสีสันของชีวิต แม้กรุงเทพฯจะดูวุ่นวายอยู่บ้างแต่มหานครแห่งนี้ก็ได้สร้างอนาคตให้กับเหล่าหนุ่มสาวและใครต่อใครมากมายหลายคน
ทุกครั้งที่มาทำธุระที่กรุงเทพฯ ฉันชอบไปวิ่งที่สวนลุมในตอนเย็นเสียทุกครั้ง นี่เป็นวันที่สองแล้วที่ฉันได้มาวิ่งที่สวนลุมฯ แห่งนี้ภายหลังเสร็จจากหน้าที่การงาน ความสุขอย่างหนึ่งที่ฉันค้นพบที่ได้มาวิ่ง ณ แหล่งฟอกปอดอีกแห่งของคนกรุงคือการได้เห็นรอยยิ้มและความมีชีวิตชีวาของคนเมืองหลวง ได้เห็นต้นไม้ยอดหญ้าสีเขียว ความเป็นธรรมชาติที่ช่วยขจัดความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจของใครต่อใคร ได้ยินเสียงนกขับขานเจื้อยแจ้ว ได้เห็นผู้คนมากหน้าหลายวัยเต้นไปตามจังหวะของเสียงเพลงและมีคนนำอยู่บนเวทีที่คอยส่งเสียงปลุกใจให้ฮึกเหิมมุ่งมั่นกับการออกกำลังกายด้วยถ้อยประโยคที่ว่า "ถ้าอยากผอมและหุ่นสวย อย่ายอมหยุดเต้นนะจ๊ะ"
ภายหลังที่ฉันออกกำลังกายจนได้เหงื่อเต็มแผ่นหน้าและแผ่นหลัง และเห็นว่าพอสมควรแก่เวลาแล้ว ฉันก็เดินจากสวนลุมไปตามถนนราชดำริเพื่อมุ่งสู่ที่พักย่านประตูน้ำ ฉันค้นพบว่าชีวิตในกรุงเทพฯ ช่างเหมาะแก่การมาเที่ยวพักผ่อนมากกว่าที่จะต้องมาใช้ชีวิตอยู่เป็นเดือนเป็นปี และกรุงเทพฯ ก็ทำให้ฉันคิดถึงเด็กสาวคนหนึ่งที่ฉันเคยผูกพันเมื่อครั้นวันวาน ฉันรู้สึกขบขันกับตัวเองที่ครั้งหนึ่งเคยพาเธอคนนั้นมาติดฝนที่สวนลุมเพียงเพราะเราสองคนอยากจะมาเที่ยวสวนลุมไนท์บาร์ซ่าโดยที่ไม่รู้ว่ามันปิดไปแล้วตั้งแต่ปีมะโว้ ฉันแอบน้ำตาไหลและเหมือนมีก้อนสะอึกมาจุกตรงลำคอเวลาที่เดินผ่านเซ็นทรัลเวิร์ล เพราะที่แห่งนี้ฉันกับเด็กสาวคนนั้นมักจะมาเที่ยวด้วยกันในวันหยุดเสาร์อาทิตย์เสมอ ฉันรับรู้อย่างขมขื่นแล้วว่าโลกแห่งความสุขในวันวานนั้นมักจะผ่านไปเร็วเสมอและเมื่อเราโตขึ้นความสุขที่เราเคยสัมผัสในอดีตก็มักจะหวนกลับมาทุกครั้งที่เรารู้สึกเปล่าเปลี่ยวและคิดถึงใครบางคน....
แดนดิน
8 พฤศจิกายน 2555
วันนี้กรุงเทพฯ มีคำขวัญเหมือนกับจังหวัดอื่นๆ แล้ว ฉันเห็นติดไว้เด่นหราอยู่ตามป้ายรถเมล์ว่า "กรุงเทพฯ ดุจเทพสร้าง เมืองศูนย์กลางการปกครอง วัด วัง งามเรืองรอง เมืองหลวงของประเทศไทย" เห็นแล้วให้รู้สึกว่ากรุงเทพฯ ช่างเป็นเมืองที่น่าอยู่เสียยิ่งกระไร ไม่แปลกที่เมืองฟ้าอมรแห่งนี้จะทำให้ใครต่อใครต่างเข้ามาอยู่อาศัยทำมาหากิน ด้วยหวังว่าเมืองที่รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างมากองไว้อยู่ที่เดียวจะให้โอกาสในชีวิตให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น หลายคนมุ่งมั่นค้นหาความฝันในเมืองศูนย์กลางแห่งนี้ ต่างคนต่างลำบากแต่ก็เต็มไปด้วยสีสันของชีวิต แม้กรุงเทพฯจะดูวุ่นวายอยู่บ้างแต่มหานครแห่งนี้ก็ได้สร้างอนาคตให้กับเหล่าหนุ่มสาวและใครต่อใครมากมายหลายคน
ทุกครั้งที่มาทำธุระที่กรุงเทพฯ ฉันชอบไปวิ่งที่สวนลุมในตอนเย็นเสียทุกครั้ง นี่เป็นวันที่สองแล้วที่ฉันได้มาวิ่งที่สวนลุมฯ แห่งนี้ภายหลังเสร็จจากหน้าที่การงาน ความสุขอย่างหนึ่งที่ฉันค้นพบที่ได้มาวิ่ง ณ แหล่งฟอกปอดอีกแห่งของคนกรุงคือการได้เห็นรอยยิ้มและความมีชีวิตชีวาของคนเมืองหลวง ได้เห็นต้นไม้ยอดหญ้าสีเขียว ความเป็นธรรมชาติที่ช่วยขจัดความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจของใครต่อใคร ได้ยินเสียงนกขับขานเจื้อยแจ้ว ได้เห็นผู้คนมากหน้าหลายวัยเต้นไปตามจังหวะของเสียงเพลงและมีคนนำอยู่บนเวทีที่คอยส่งเสียงปลุกใจให้ฮึกเหิมมุ่งมั่นกับการออกกำลังกายด้วยถ้อยประโยคที่ว่า "ถ้าอยากผอมและหุ่นสวย อย่ายอมหยุดเต้นนะจ๊ะ"
ภายหลังที่ฉันออกกำลังกายจนได้เหงื่อเต็มแผ่นหน้าและแผ่นหลัง และเห็นว่าพอสมควรแก่เวลาแล้ว ฉันก็เดินจากสวนลุมไปตามถนนราชดำริเพื่อมุ่งสู่ที่พักย่านประตูน้ำ ฉันค้นพบว่าชีวิตในกรุงเทพฯ ช่างเหมาะแก่การมาเที่ยวพักผ่อนมากกว่าที่จะต้องมาใช้ชีวิตอยู่เป็นเดือนเป็นปี และกรุงเทพฯ ก็ทำให้ฉันคิดถึงเด็กสาวคนหนึ่งที่ฉันเคยผูกพันเมื่อครั้นวันวาน ฉันรู้สึกขบขันกับตัวเองที่ครั้งหนึ่งเคยพาเธอคนนั้นมาติดฝนที่สวนลุมเพียงเพราะเราสองคนอยากจะมาเที่ยวสวนลุมไนท์บาร์ซ่าโดยที่ไม่รู้ว่ามันปิดไปแล้วตั้งแต่ปีมะโว้ ฉันแอบน้ำตาไหลและเหมือนมีก้อนสะอึกมาจุกตรงลำคอเวลาที่เดินผ่านเซ็นทรัลเวิร์ล เพราะที่แห่งนี้ฉันกับเด็กสาวคนนั้นมักจะมาเที่ยวด้วยกันในวันหยุดเสาร์อาทิตย์เสมอ ฉันรับรู้อย่างขมขื่นแล้วว่าโลกแห่งความสุขในวันวานนั้นมักจะผ่านไปเร็วเสมอและเมื่อเราโตขึ้นความสุขที่เราเคยสัมผัสในอดีตก็มักจะหวนกลับมาทุกครั้งที่เรารู้สึกเปล่าเปลี่ยวและคิดถึงใครบางคน....
แดนดิน
8 พฤศจิกายน 2555
Monday, November 5, 2012
ใครหลายคนต่างออกค้นหาความสำเร็จ และแน่นอนความสำเร็จของแต่ละคนอาจมีระดับหรือปริมาณที่ไม่เท่ากัน ความสำเร็จอาจควบคู่กับความสุข และความสุขก็เป็นสิ่งที่เราอยากได้มาครอบครองด้วยกันทั้งนั้น
ผมว่าในชีวิตการเป็นมนุษย์ที่ยัง กิน ขี้ ปี้ นอน การได้ทำอะไรบางอย่างที่เรารักก็ถือเป็นความสุขหนึ่งแล้ว
ความทุกข์เกิดจากความไม่พอใจอะไรบางอย่าง คือความอึดอัดขัดข้องที่ไม่สมดังใจปราถนา วิธีขจัดความทุกข์ของผมคือการออกเดินทาง เมื่อไหร่ที่ตัวเองไม่สบายใจจนใกล้จะบ้าเต็มทน ผมจะหยุดทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเดินทางไปไหนสักแห่ง และยิ่งได้อ่านหนังสือสักเล่มที่เราชอบก็สามารถเอาชนะความทุกข์ได้แล้ว
ตั้งแต่ที่ผมตัดสินใจออกเดินทางหาความสุข ผมค้นพบว่าความสุขที่ผมต้องการนั้นคือความทุกข์อีกอย่าง ผมฝันอยากมีธุรกิจเล็กๆ ที่สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้แล้วหาเวลาไปเที่ยวที่ไหนตามใจปราถนาเมื่องว่างเว้นจากการงาน แต่สิ่งๆ นั้นกลับทำให้ผมเป็นทุกข์อย่างหนัก การทำธุรกิจส่วนตัวไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนการเรียนหนังสือเอาใบปริญญา ความสำเร็จจะมีได้ต้องมีความอดทนและต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ มากมาย ในบางครั้งเราอาจต้องยอมนอนเจ็บปวดบ้างแต่รุ่งเช้าเราต้องลุกขึ้นสู้อย่างเต็มพลัง การงานที่เราต้องทำให้เสร็จในวันนั้นต้องรีบจัดการทันที
ผ่านมาถึงวันนี้ ผมได้พบกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย ได้เห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในร้านอาหาร เห็นถึงความขัดแย้งของบุคลากร ความไม่พอใจของลูกค้าและความกดดันในการทำยอดขาย
นี่แหละคือความทุกข์ในความสุขที่เราออกค้นหา....ผมนับวันให้ผ่านช่วงนี้ไปให้ได้เร็วที่สุด....และวันไหนที่ผ่านไปได้ ผมจะตะลุยขึ้นไปที่เขาเหลียงซานและตะโกนฝ่าหุบเหวออกไปให้สุดเสียงว่า "ข้าทำได้แล้วเว้ยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!"
Subscribe to:
Posts (Atom)