
06.00 น. ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโหวกเหวกดังมาจากด้านนอก ลุกขึ้นไปเปิดประตูและเห็นชายหนุ่มกับเด็กสาวอีกคนยืนถือของพะรุงพะรังอยู่หน้าห้องด้านข้าง
"โทษทีครับที่ทำให้ตื่น"
ผมยิ้มอย่างงัวเงียแล้วตอบกลับว่า "ไม่เป็นไรครับ...แล้วจะไปไหนกันครับเนี่ย"
"ผมกับแฟนตั้งใจจะไปอยู่ต่างจังหวัดสักอาทิตย์หนึ่งก่อน รอดูสถานการณ์น้ำท่วมในกรุงเทพฯ ว่าจะเป็นยังไงบ้าง"
ผมยิ้มรับแทนคำตอบแล้วเอ่ยขึ้นว่า "งั้นเดินทางปลอดภัยนะครับ"
คู่หนุ่มสาวยิ้มตอบกลับแล้วเอ่ยขอบคุณตามมา
06:25 น. เปิดทีวีดูรายการเรื่อเล่าเช้านี้ เห็นม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตรและศาสตราจารย์ พิเศษ ธงทอง ออกแถลงการณ์ให้คนกรุงเทพอพยพไปพำนักยังต่างจังหวัดเพราะเหตุการณ์ในวันข้างหน้าอาจยากลำบากต่อการเดินทางออกนอกกรุงเทพฯ เห็นผู้คนจำนวนมากเดินทางออกไปต่างจังหวัด รถติดยาวเป็นแพ
7:00 น. ออกมาซื้อกับข้าวหน้าปากซอย เห็นบรรยากาศรอบข้างเงียบผิดปกติ หลายคนเดินสะพายกระเป๋าใบเขื่องพะรุงพะรัง บ้างนั่งจับกลุ่มคุยกันพร้อมกระเป๋าหลายใบ รถราจากที่วิ่งขวักไขว่อยู่เต็มถนน ลดน้อยถอยลงจนถนนแทบร้าง พ่อค้าแม่ขายก็หายหน้าหายตาไปเช่นกัน ผู้คนในซอยที่ทุกเช้าจะยืนออรอใส่บาตรก็หายไปด้วย หลวงพ่อต้องเดินถือบาตรเปล่ากลับวัดไป 7-11 ก็่ไม่มีอะไรให้ซื้ออีกแล้ว หมดเกลี้ยงแทบทุกอย่าง
7:30 น. เสียงกริ่งกร่างโทรศัพท์ดังขึ้น ผมรีบหยิบขึ้นกดรับ แล้วเสียงปลายทางก็ดังขึ้น...
แม่ผมเอง น้ำเสียงนั้นฟังดูเศร้าสร้อยและวิงวอนให้ผมกลับบ้านต่างจังหวัด แต่ผมก็บอกไปว่ายังกลับไม่ได้เพราะที่บริษัทฯ ไม่หยุดให้ แล้วพูดปลอบแม่ว่าไม่ต้องเป็นห่วง สถานการณ์ไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิดแล้วผมก็วางสายไป
เห็นเหตุการณ์ในเช้าวันแรกของการสั่งอพยพออกจากกรุงเทพฯ แล้ว ผมแทบใจหาย ไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในยุคสมัยของเรา เคยเห็นแต่ในภาพยนต์แต่วันนี้เรากำลังเผชิญกับวิกฤตภัยธรรมชาติกันแล้ว พวกเราเตรียมพร้อมรับมือกันหรือยัง
27 ตุลาคม 2554
วันแรกของการสั่งอพยพออกนอกกรุงเทพฯ โดยคำสั่งรัฐบาล