Wednesday, October 26, 2011

บันทึกวันแรกของการสั่งอพยพออกนอกกรุงเทพฯ เนื่องจากมหาอุทกภัยน้ำท่วม


06.00 น. ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโหวกเหวกดังมาจากด้านนอก ลุกขึ้นไปเปิดประตูและเห็นชายหนุ่มกับเด็กสาวอีกคนยืนถือของพะรุงพะรังอยู่หน้าห้องด้านข้าง

"โทษทีครับที่ทำให้ตื่น"
ผมยิ้มอย่างงัวเงียแล้วตอบกลับว่า "ไม่เป็นไรครับ...แล้วจะไปไหนกันครับเนี่ย"

"ผมกับแฟนตั้งใจจะไปอยู่ต่างจังหวัดสักอาทิตย์หนึ่งก่อน รอดูสถานการณ์น้ำท่วมในกรุงเทพฯ ว่าจะเป็นยังไงบ้าง"

ผมยิ้มรับแทนคำตอบแล้วเอ่ยขึ้นว่า "งั้นเดินทางปลอดภัยนะครับ"

คู่หนุ่มสาวยิ้มตอบกลับแล้วเอ่ยขอบคุณตามมา

06:25 น. เปิดทีวีดูรายการเรื่อเล่าเช้านี้ เห็นม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตรและศาสตราจารย์ พิเศษ ธงทอง ออกแถลงการณ์ให้คนกรุงเทพอพยพไปพำนักยังต่างจังหวัดเพราะเหตุการณ์ในวันข้างหน้าอาจยากลำบากต่อการเดินทางออกนอกกรุงเทพฯ เห็นผู้คนจำนวนมากเดินทางออกไปต่างจังหวัด รถติดยาวเป็นแพ

7:00 น. ออกมาซื้อกับข้าวหน้าปากซอย เห็นบรรยากาศรอบข้างเงียบผิดปกติ หลายคนเดินสะพายกระเป๋าใบเขื่องพะรุงพะรัง บ้างนั่งจับกลุ่มคุยกันพร้อมกระเป๋าหลายใบ รถราจากที่วิ่งขวักไขว่อยู่เต็มถนน ลดน้อยถอยลงจนถนนแทบร้าง พ่อค้าแม่ขายก็หายหน้าหายตาไปเช่นกัน ผู้คนในซอยที่ทุกเช้าจะยืนออรอใส่บาตรก็หายไปด้วย หลวงพ่อต้องเดินถือบาตรเปล่ากลับวัดไป 7-11 ก็่ไม่มีอะไรให้ซื้ออีกแล้ว หมดเกลี้ยงแทบทุกอย่าง

7:30 น. เสียงกริ่งกร่างโทรศัพท์ดังขึ้น ผมรีบหยิบขึ้นกดรับ แล้วเสียงปลายทางก็ดังขึ้น...

แม่ผมเอง น้ำเสียงนั้นฟังดูเศร้าสร้อยและวิงวอนให้ผมกลับบ้านต่างจังหวัด แต่ผมก็บอกไปว่ายังกลับไม่ได้เพราะที่บริษัทฯ ไม่หยุดให้ แล้วพูดปลอบแม่ว่าไม่ต้องเป็นห่วง สถานการณ์ไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิดแล้วผมก็วางสายไป

เห็นเหตุการณ์ในเช้าวันแรกของการสั่งอพยพออกจากกรุงเทพฯ แล้ว ผมแทบใจหาย ไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในยุคสมัยของเรา เคยเห็นแต่ในภาพยนต์แต่วันนี้เรากำลังเผชิญกับวิกฤตภัยธรรมชาติกันแล้ว พวกเราเตรียมพร้อมรับมือกันหรือยัง

27 ตุลาคม 2554

วันแรกของการสั่งอพยพออกนอกกรุงเทพฯ โดยคำสั่งรัฐบาล

Friday, October 21, 2011

วัยรุ่นพันล้านเรื่องราวของเถ้าแก่น้อยแห่งความลับในห่อสาหร่าย




หนังเรื่อง วัยรุ่นพันล้าน ความลับในห่อสาหร่าย เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อยากแนะนำให้ไปดูกันเพราะเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ (ปัจจุบันอายุ 26 ปี) เจ้าของแบรนด์ 'เถ้าแก่น้อย' นักธุรกิจที่อายุน้อยสุดในประเทศไทยและมีสาขาอยู่ในต่างประเทศมากมาย อิทธพัทธ์ คืออีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าการทำธุรกิจนั้นสามารถเริ่มได้ทุกช่วงอายุ (เมื่อมีความรู้สึกอยากทำ อยากลุย อยากท้าทายชีวิตซ้ำๆ ซากๆ ของตัวเอง) และความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเรียนจบปริญญาตรีหรือปริญญาโทก็ได้ หนังเรื่องวัยรุ่นพันล้านคืออีกแรงบันดาลใจที่จะทำให้ใครหลายคนเกิดอาการคันไม้่คันมืออยากทำอะไรบางอย่างเพื่อเติมเต็มกับความเบื่อหน่ายของรูปแบบการทำงานเดิมๆ และหนังเรื่องนี้จะชี้ให้เห็นถึงการเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่เลข 0 จนถึงจุดหนึ่งแห่งความสำเร็จ การเจรจาต่อรองและปัญหาอุปสรรคของการเดินบนเส้นทางนี้

แดนดิน

22 ตุลาคม 2554

จุดเริ่มต้นแห่งการลงทุน


ผ่านไปแล้วกับสัปดาห์แห่งการลงทุนในกองทุนรวมของ SCB จุดเริ่มต้นก่อนก้าวเข้าสุ่ตลาดหุ้นอย่างเป็นทางการก่อนสิ้นปีนี้ ภายหลังคลุกตัวอยู่ในห้องสินธรบนเว็ปไซด์ pantip.com มานานพอสมควร ได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกับนักเล่นหุ้นทั้งมือใหม่และมือเก่าอย่างเป็นกันเองและอ่านหนังสือเกี่ยวกับหุ้นจนปรุพรุนไปแล้วหลายเล่ม ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ผมได้พบว่าการเล่นหุ้นเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะเพิ่มความมั่งคั่งให้กับเราและเป้าหมายของการเป็นอิสระภาพทางการเงินภายใน 5 ปีนั้นก็เริ่มเห็นภาพขึ้นมาทีละนิด แน่นอนว่าการเล่นหุ้นย่อมมีความเสี่ยงแต่ถ้าศึกษาและเล่นอย่างรัดกุมเชื่อได้ว่านี่คือโอกาสที่จะทำให้เราได้พบกับอิสระภาพทางการเงินได้อีกช่องทาง

ผมตัดสินใจเล่นพวกกองทุนรวมก่อนเพราะเห็นว่ามีความเสี่ยงน้อยและได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าฝากเงินในรูปแบบออมทรัพย์ทั่วไป ที่ห้องสินธรผมได้รู้จักกับพี่คนหนึ่งซึ่งเชื่อได้ว่าหลายคนที่อยู่ห้องนี้ต้องรู้จักแน่นอนนั่นก็คือ Pjuk ผู้ซึ่งแนะนำให้ผมลองเล่นกองทุน SCBSFF และ SCBTMF ไปก่อน หลังจากได้ Fund book มาแล้วผมก็รีบสมัครเปิด Account ผ่าน SCB Easy Net ทันทีแล้วก็นั่งบันทึกตัวเลขเคลื่อนไหวของกองทุนที่ซื้อทุกวันผ่าน Excel File จนกระทั่งมาถึงช่วงกลางสัปดาห์นี้ผมตัดสินใจลองเล่นกองทุนหุ้น SCBSET ดูเพราะเห็นว่ากองทุนนี้มีการเคลื่อนไหวที่หวือหวาใช้ได้สำหรับมือใหม่อย่างผมและปรากฏว่าผมติดลบไปเกือบถึง 10%

Warren Buffett นักเล่นหุ้นระดับ VI ตัวเป้งของโลกคืออีกหนึ่งตัวอย่างที่สอนว่าการลงทุนใดๆ ก็ตามที่มีความเสี่ยงสูงต้องมีการคิดวิเคราะห์อย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุนไม่อย่างนั้นแล้วก็คงต้องเจ็บตัวกันไปอีกนาน

ผมวางแผนไว้ว่าจะเริ่มเปิดพอร์ทในสัปดาห์หน้ากับ Broker ที่ไม่คิดขั้นต่ำ (มีเพื่อนแนะนำให้เปิดกับบัวหลวง) และจะเริ่มเข้าซื้อหุ้นพื้นฐานดีที่ติดใน SET 50 ก่อนแล้ววางแผนถือไว้จนกว่าจะได้กำไร 10% ก่อนจะ short sell ทยอยขายหุ้นไปที่ล่ะส่วนตามเป้าหมายที่วางไว้ แล้วมาดูกันว่าการเล่นหุ้นแบบนี้มันจะออกมาเป็นยังไง

Saturday, October 15, 2011

นั่งกระดิกเท้านอ่านหนังสืออย่างสบายใจ


จำได้ว่าตอนเรียนมหา'ลัย หนังสือเล่มโปรดที่อ่านประจำคือนวนิยาย เรื่องสั้นและสารคดีเพื่อการท่องเที่ยว ยิ่งเมื่อมีงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเมื่อไหร่ก็จะซื้อขนมาตั๊บบะเร่อแล้วนั่งอ่านได้ทั้งวันทั้งคืนจนบางครั้งไม่ได้ทำการบ้าน ตอนเป็นเด็กพี่ชอบซื้อหนังสือบันทึกรัก 'ศาลาคนเศร้า' เรื่องราวความรักของเด็กหนุ่มเด็กสาวต่างจังหวัดมาทุกเดือน แล้วเราสองคนก็มานั่งอ่านกันและฟังเพลงของค่าย RS ไปด้วยอย่างเพลิดเพลิน

เมื่อเวาลผ่านไป และเข้าสู่ชีิวิตการทำงาน หนังสือเล่มโปรดที่อ่านทุกเดือนคือหนังสือประเภท 'How to' เกี่ยวกับการลงทุนและการตลาด อ่านมันได้อย่างเพลิดเพลินราวกับเป็นหนังสือนวนิยายรักสไตล์วัยรุ่น และซื้อมันได้ทุกเดือนจนต้องสมัครเป็นสมาชิกของทางร้านและถึงเข้าขั้นสนิทสนมกับพนักงานขาย

วันนี้ในวันที่สายฝนโปรยปรายลงมาตลอดเช้าจนถึงตอนนี้ รายงานสดน้ำท่วมออกทุกช่องทีวี ก็ได้หนังสืออีกสองเล่มมานั่งกระดิกเท้านอนอ่านอย่างสบายใจ

Saturday, October 8, 2011

ความประทับใจในวันนี้ที่ได้ไปร่วแพ็คของบริจาคฯ


วันนี้ตัดสินใจไปช่วยแพ็คของบริจาคผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่จุดรับบริจาคอาสาดุสิต ธนาคารกรุงไทย สำนักงานใหญ่ฝั่งเพลินจิตพลาซ่า เห็นคนมากมายกำลังวุ่นวายกับการบรรจุของบริจาคลงในถุงดำ นั่งลงตรงกลุ่มหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้องๆ วัยรุ่นและมีป้าอยุ่คนหนึ่งคอยกำกับอยู่ เมื่อเริ่มแพ็คของไปแล้วพวกเราต่างก็เริ่มพูดคุยถึงสถานการณ์น้ำท่วมกันอย่างเป็นกันเอง ป้าแกถามว่าผมมาจากไหนก็บอกไปว่าตอนนี้พักอยู่แถวสุขุมวิท 71 แกก็เล่าให้ฟังว่าเมื่อประมาณปี 2520 กว่า (จำไม่ได้) แกเคยอยู่แถวรามฯ ตอนนั้นน้ำท่วมถึงอกและตรงถนนสุขุมวิท 71 น้ำท่วมถึงระดับหน้าแข้ง ได้ฟังแล้วก็อดจะตื่นเต้นกับคำเตือนที่ว่าน้ำอาจท่วมกทม.ในอีกไม่กี่วันนี้ ดูข่าวแล้วก็เห็นมีหลายๆ คนไปซื้อข้าวปลาอาหารแห้งมากักตุนไว้แล้ว ยังไงก็ขอให้สถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดีเถิด

Monday, October 3, 2011

ลงทุนในตราสารหนี้ระหว่างรอตลาดหุ้น rebound


วันนี้ตลาด SET Index ปิดที่ 869.91 ติดลบ 46.90 เนื่องจากนักลงทุนกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากขึ้น และยังได้รับแรงกดดันจากปัญหาหนี้ในยุโรป ระหว่างที่เริ่มต้นศึกษาการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หุ้น SCB SFF คืออีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการพักเงินไว้เพื่อรอการลงทุนและช้อนซื้อหุ้นในกลุ่ม Blue Ship

กลยุทธ์การลงทุนสำหรับช่วงนี้: แม้ว่าระยะสั้นตลาดจะยังคงผันผวน เเต่ยังคงมีความหวังว่าเดือนต.ค.น่าจะมีโอกาส rebound ระยะสั้นกลับขึ้นมาได้ โดยมีการแนะนำให้เริ่มหันมาลงทุนหุ้นที่คาดว่าจะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ออกมาดี เช่น CPF TUF CPN HMPRO BIGC BH KH TICON LOXLEY และกลุ่มผู้ประกอบการบ้าน ขณะที่นักลงทุนระยะยาวยังคงแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่มพลังงาน และหันมาลงทุนในหุ้นกลุ่ม Domestic play มากขึ้น โดยแนะนำให้สะสมหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการบริโภคในประเทศเป็นหลักเช่น RS CPALLMAKRO BIGC BGH KH CPF LH AP LPN SPALI TICON TISCO และหุ้นในกลุ่ม ICT ADVANC DTAC

ส่วนราคาทองคำวันนี้ปรับขึ้นเล็กน้อย

Saturday, October 1, 2011

บทที่ 1: การเล่นหุ้น


นับจากได้เข้าไปชมงาน Money Expo ที่ Impact เมืองทองธานี ผู้เขียนเกิดความสนใจในตลาดหลักทรัพย์ Set Index เป็นอย่างมากจึงได้ศึกษาและสอบถามผู้รู้เกี่ยวกับด้านนี้มาโดยตลอด

จากข้อมูลที่ได้รับนั้นผมพอสรุปได้ดังนี้

ในการลงทุน (เล่นหุ้น) ในตลาดหลักทรัพย์นั้นมีการเล่นอยู่สองแบบ (ตามที่ผมรับรุ้มา) ดังนี้
1. ลงทุนในตัวหุ้น สนใจหุ้นไหนก็เข้าไปซื้อเลย
2. ลงทุนในกองทุนรวมต่างๆ เช่น RMF, LTF เป็นต้น

ความแตกต่างของสองกองทุนนี้คือ กองทุนแบบที่หนึ่งจะมีความเสียงสูงแต่ได้ผลตอบแทนสูงตามเช่นกัน (High-Risk, High-Return) แต่กองทุนที่สองนั้นจะมีความเสี่ยงต่ำเพราะการลงทุนจะเน้นไปที่ตราสารหนี้ของรัฐบาล พวกพันธบัตร ตั๋วแลกเงินต่างๆ แน่นอนว่าเมื่อมีความเสี่ยงต่ำก็มีผลตอบแทนต่ำเช่นกัน (แต่ก็ดีกว่าฝากเงินประจำ)

การเล่นหุ้นหรือลงทุนในตลาดหลักทรัพย์นั้นมีขั้นตอนดังนี้

1. ซื้อขายผ่าน Marketing
การซื้อขายผ่าน Marketing นั้นเราต้องติดต่อซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ที่ได้รับการรับรองยอมรับจาก ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) ซึ่งก็เหมือนกันที่ธนาคาพาณิชย์ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อติดต่อเลือกโบรกเกอร์ได้แล้วเราก็ยื่นคำขอเปิดบัญชีซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็ปไซด์ของโบรกเกอร์ และก็มีเอกสารทั่วไปอย่างสำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สมุดคู่ฝากธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน สำเนาหน้าแรกของสมุดคู่ฝากบัญชีธนาคาร เพื่อใช้ตัดบัญชี ATS (บัญชีชำระค่าซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านบริการตัดบัญชีโดยอัตโนมัติ) ซึ่งมี ชื่อและนามสกุล พร้อมเลขที่บัญชีธนาคาร โบรกเกอร์จะหักเงินจากบัญชีธนาคารในวันที่ T+3 (T คือวันที่ทำการ) เช่น เมื่อเราซื้อหุ้นใดหุ้นหนึ่งทางโบรกเกอร์จะส่งคำสั่งซื้อไปให้ทางตลาดหลักทรัพย์แต่ยังไม่หักเงินจากบัญชีเราซึ่งการหักเงินนั้นจะทำอีกสามวันทำการ เช่นเดียวกันเมื่อเราเทขายหุ้นออกไปเราก็จะได้รับเงินเข้าบัญชีในวันที่ T+3 เช่นกัน

2. ซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต เราเพียงแต่ดาวน์โหลดและกรอกเอกสารทั้งหมดจากเว็ปไซด์แล้วส่งไปให้โบรกเกอร์ผ่านทางไปรษณีย์แทนเมื่อโบรกเกอร์ยืนยันว่าเอกสารถูกต้องแล้วก็จะทำการอนุมัติเปิดบัญชีการซื้อขายหลักทรัพย์ให้แล้วจะแจ้งเรากลับมาอีกครั้ง การซื้อขางแสนง่ายเพียงผ่านหน้าเว็ปไซด์เท่านั้น

อัตราค่าคอมมิชชั่น

- ซื้อขายผ่าน Marketing ที่มูลค่าน้อยกว่า 5 ล้านเสียค่าคอมฯ 0.25% และซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต 0.15% ตัวอย่าง
ซื้อหุ้น ABC ผ่านอินเทอร์เน็ตจำนวน 1,000 หุ้น หุ้นที่ราคา 10 บาท รวมเป็นเงิน 10,000 บาท ค่าคอมฯ เท่ากับ 10,000*0.15% = 15 บาท แต่อัตราขั้นต่ำที่โบรกเกอร์เรียกเก็บคือ 50 บาท + VAT 7%1 จำนวนค่าคอมฯ ที่จ่ายจริงคือ 53.5 บาท

การซื้อขายหุ้นดียังไงเรามาดูกัน

Warren Buffet คนที่รวยที่สุดในโลกในปัจจุบันคือปรมาจารย์ด้านการเล่นหุ้นแบบ VI (Value Investor) เขาได้พูดไว้ว่าเขารู้สึกเสี่ยใจอย่างมากที่ซื้อหุ้นครั้งแรกตอนอายุ 11 ปี น่าจะซื้อให้เร็วมากกว่านี้ ทำไมเล่นหุ้นถึงรวยก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนเสียก่อนว่าเมื่อคุณทำงานได้เงินมานั้นควรนักเศรษฐศาสตร์บอกให้แบ่งเงินออกเป็น 3 ส่วนดังนี้ (หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว)
- ส่วนที่หนึ่งประมาณ 40% เอาไปฝากออมไว้ในธนาคาร
- ส่วนที่สองประมาณ 40% เอาไปลงทุนในตราสารหนี้
- ส่วนที่สามประมาณ 20% เอาไปลงทุนในตราสารทุน

ดังนั้นการฝากเงินธนาคารไว้ถือว่าเป็นเงินออมของเราซึ่งเงินจำนวนนี้เราไม่ควรไปแตะต้องแต่อย่างใดถ้าไม่จำเป็น ส่วนเงินที่เหลือจากค่าใช้จ่ายเราสามารถนำมาลงทุนตามสัดส่วนดังกล่าวได้

การเล่นหุ้นจะได้กำไรหรือขาดทุนอยู่ที่การวิเคราะห์ข้อมูลและจังหวะของในการเข้าซื้อและเทขาย

ตัวอย่างเช่นถ้าซื้อหุ้น ABC ในเดือนกรกฏาคมในราคาหุ้นล่ะ 10 บาท จำนวน 1,000 หุ้น พอเดือนตุลาคมหุ้นตัวนี้ขึ้นมาอยู่ที่ 15 บาท คำถามคือว่าคุณจะขายหรือเก็บไว้และถ้าขายออกไปกำไรจะได้สักเท่าไหร่

การซื้อขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษีนะครับ