Saturday, October 1, 2011

บทที่ 1: การเล่นหุ้น


นับจากได้เข้าไปชมงาน Money Expo ที่ Impact เมืองทองธานี ผู้เขียนเกิดความสนใจในตลาดหลักทรัพย์ Set Index เป็นอย่างมากจึงได้ศึกษาและสอบถามผู้รู้เกี่ยวกับด้านนี้มาโดยตลอด

จากข้อมูลที่ได้รับนั้นผมพอสรุปได้ดังนี้

ในการลงทุน (เล่นหุ้น) ในตลาดหลักทรัพย์นั้นมีการเล่นอยู่สองแบบ (ตามที่ผมรับรุ้มา) ดังนี้
1. ลงทุนในตัวหุ้น สนใจหุ้นไหนก็เข้าไปซื้อเลย
2. ลงทุนในกองทุนรวมต่างๆ เช่น RMF, LTF เป็นต้น

ความแตกต่างของสองกองทุนนี้คือ กองทุนแบบที่หนึ่งจะมีความเสียงสูงแต่ได้ผลตอบแทนสูงตามเช่นกัน (High-Risk, High-Return) แต่กองทุนที่สองนั้นจะมีความเสี่ยงต่ำเพราะการลงทุนจะเน้นไปที่ตราสารหนี้ของรัฐบาล พวกพันธบัตร ตั๋วแลกเงินต่างๆ แน่นอนว่าเมื่อมีความเสี่ยงต่ำก็มีผลตอบแทนต่ำเช่นกัน (แต่ก็ดีกว่าฝากเงินประจำ)

การเล่นหุ้นหรือลงทุนในตลาดหลักทรัพย์นั้นมีขั้นตอนดังนี้

1. ซื้อขายผ่าน Marketing
การซื้อขายผ่าน Marketing นั้นเราต้องติดต่อซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ที่ได้รับการรับรองยอมรับจาก ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) ซึ่งก็เหมือนกันที่ธนาคาพาณิชย์ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อติดต่อเลือกโบรกเกอร์ได้แล้วเราก็ยื่นคำขอเปิดบัญชีซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็ปไซด์ของโบรกเกอร์ และก็มีเอกสารทั่วไปอย่างสำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สมุดคู่ฝากธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน สำเนาหน้าแรกของสมุดคู่ฝากบัญชีธนาคาร เพื่อใช้ตัดบัญชี ATS (บัญชีชำระค่าซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านบริการตัดบัญชีโดยอัตโนมัติ) ซึ่งมี ชื่อและนามสกุล พร้อมเลขที่บัญชีธนาคาร โบรกเกอร์จะหักเงินจากบัญชีธนาคารในวันที่ T+3 (T คือวันที่ทำการ) เช่น เมื่อเราซื้อหุ้นใดหุ้นหนึ่งทางโบรกเกอร์จะส่งคำสั่งซื้อไปให้ทางตลาดหลักทรัพย์แต่ยังไม่หักเงินจากบัญชีเราซึ่งการหักเงินนั้นจะทำอีกสามวันทำการ เช่นเดียวกันเมื่อเราเทขายหุ้นออกไปเราก็จะได้รับเงินเข้าบัญชีในวันที่ T+3 เช่นกัน

2. ซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต เราเพียงแต่ดาวน์โหลดและกรอกเอกสารทั้งหมดจากเว็ปไซด์แล้วส่งไปให้โบรกเกอร์ผ่านทางไปรษณีย์แทนเมื่อโบรกเกอร์ยืนยันว่าเอกสารถูกต้องแล้วก็จะทำการอนุมัติเปิดบัญชีการซื้อขายหลักทรัพย์ให้แล้วจะแจ้งเรากลับมาอีกครั้ง การซื้อขางแสนง่ายเพียงผ่านหน้าเว็ปไซด์เท่านั้น

อัตราค่าคอมมิชชั่น

- ซื้อขายผ่าน Marketing ที่มูลค่าน้อยกว่า 5 ล้านเสียค่าคอมฯ 0.25% และซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต 0.15% ตัวอย่าง
ซื้อหุ้น ABC ผ่านอินเทอร์เน็ตจำนวน 1,000 หุ้น หุ้นที่ราคา 10 บาท รวมเป็นเงิน 10,000 บาท ค่าคอมฯ เท่ากับ 10,000*0.15% = 15 บาท แต่อัตราขั้นต่ำที่โบรกเกอร์เรียกเก็บคือ 50 บาท + VAT 7%1 จำนวนค่าคอมฯ ที่จ่ายจริงคือ 53.5 บาท

การซื้อขายหุ้นดียังไงเรามาดูกัน

Warren Buffet คนที่รวยที่สุดในโลกในปัจจุบันคือปรมาจารย์ด้านการเล่นหุ้นแบบ VI (Value Investor) เขาได้พูดไว้ว่าเขารู้สึกเสี่ยใจอย่างมากที่ซื้อหุ้นครั้งแรกตอนอายุ 11 ปี น่าจะซื้อให้เร็วมากกว่านี้ ทำไมเล่นหุ้นถึงรวยก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนเสียก่อนว่าเมื่อคุณทำงานได้เงินมานั้นควรนักเศรษฐศาสตร์บอกให้แบ่งเงินออกเป็น 3 ส่วนดังนี้ (หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว)
- ส่วนที่หนึ่งประมาณ 40% เอาไปฝากออมไว้ในธนาคาร
- ส่วนที่สองประมาณ 40% เอาไปลงทุนในตราสารหนี้
- ส่วนที่สามประมาณ 20% เอาไปลงทุนในตราสารทุน

ดังนั้นการฝากเงินธนาคารไว้ถือว่าเป็นเงินออมของเราซึ่งเงินจำนวนนี้เราไม่ควรไปแตะต้องแต่อย่างใดถ้าไม่จำเป็น ส่วนเงินที่เหลือจากค่าใช้จ่ายเราสามารถนำมาลงทุนตามสัดส่วนดังกล่าวได้

การเล่นหุ้นจะได้กำไรหรือขาดทุนอยู่ที่การวิเคราะห์ข้อมูลและจังหวะของในการเข้าซื้อและเทขาย

ตัวอย่างเช่นถ้าซื้อหุ้น ABC ในเดือนกรกฏาคมในราคาหุ้นล่ะ 10 บาท จำนวน 1,000 หุ้น พอเดือนตุลาคมหุ้นตัวนี้ขึ้นมาอยู่ที่ 15 บาท คำถามคือว่าคุณจะขายหรือเก็บไว้และถ้าขายออกไปกำไรจะได้สักเท่าไหร่

การซื้อขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษีนะครับ

No comments: