มันเริ่มต้นจากข่าวฮอลิคอปเตอร์ตกที่แก่งกระจานในเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้ใครต่อใครที่ได้ฟังข่าวนี้ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าคืออาถรรภ์ของป่า ผมกับคณะกรรมการป่าชุมชนแห่งบ้านโป่งลึกซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานตัดสินใจลงพื้นที่เพื่อเข้าไปช่วยเจ้าหน้าที่ลำเลียงศพนายทหารที่ประสบเคราะห์โดยมีพรานเฒ่าชาวกระเหรี่ยงคนหนึ่งนามว่าจอพอควา รูปร่างผอม เกร็ง กะทัดรัด อายุราว 50 ปี สวมเสื้อทรงกระสอบสีแดง สะพายย่ามทางไหล่ซ้าย ดูทะมัดทะแม่งคล่องแคล่วเกินอายุ
“ตั้งแต่ตนเกิดมาจนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่เคยมีเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นในป่าแก่งกระจานเหมือนครั้งนี้เลย”
พรานเฒ่าจอพอควาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ชาวบ้านเชื่อว่านี่คือการลงโทษของสิ่งลี้ลับ ชาวบ้านแถบแถวถิ่นนี้ล้วนนับถือพ่อปู่เขาเจ้าและนิยมพากันไปกราบไหว้ขอพรให้พ่อปู่เขาเจ้าช่วยทุกครั้งเมื่อมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจหรือยามเดินทางเข้าป่าหรือไปทำมาหากินก็จะมากราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล ส่วนในเทือกเขาแก่งกระจานที่ติดกับชายแดนพม่า ชาวกระเหรี่ยงและกระหร่างจะนับถือเจ้าพ่อเขาพะพวง”
พรานเฒ่าเหลาเหย่เล่าด้วยสำเนียงแปร่งปร่างไม่แจ่มชัดเหมือนชาวไทยพื้นราบทั่วไป
“โถ่พราน มันก็แค่อุบัติเหตุทางอากาศเท่านั้นแหละนา ไม่เกี่ยวกับเจ้าป่าเจ้าเขาหรอก” ใครคนหนึ่งโพล่งขึ้น ทุกคนหันมามองต้นเสียงแห่งความท้าทายนั้นด้วยสายตาลุกวาวโดยเฉพาะผู้ใหญ่องอาจและพรานกะเหรี่ยงที่เดินนำหน้า
“หยุดเลยให้นัด เองหัดเคารพเจ้าที่เจ้าทางหน่อย”
“โธ่...ลุงผู้ใหญ่ ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าที่ฮอมันตกก็เพราะสภาพอากาศเลวร้าย หมอกควันปกคลุมป่า ทำให้สภาพเครื่องยนต์มีปัญหาทำให้นักบินไม่สามารถควบคุมเครื่องได้”
“ไอ้เชี่ยนัด มึงหุบปากไปเลย มึงหลบหลู่ดูหมิ่นสิ่งลี้ลับในป่าเขาไม่พอมึงกำลังทำลายบรรยากาศการเดินทางครั้งนี้ด้วย” ผู้ใหญ่องอาจตวาดเสียงลั่น หน้าตาขมึงทึงด้วยความเกรี้ยวกราด ส่วนเจ้านัดหน้าเสียเงียบปากลงทันใด
“เองพูดจาหยั่งนี้ระวังจะออกจากผืนป่านี้ไม่ได้” พรานเฒ่าชาวกะเหรี่ยงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมกว่าครั้งแรก สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ส่วนผมนั้นเริ่มเกิดอาการหวาดหวั่นขึ้นมาทันที คิดไม่ถึงว่าเพื่อนร่วมเดินทางคนนี้จะกล้าพูดจาคึกคะนองปากขณะเดินทางอยู่ในป่าเขาที่รกครึ้มด้วยไม้ใหญ่น้อยและอวบอวลไปด้วยกลิ่นสาบสางของผืนป่าที่ซ่อนเร้นความลี้ลับไว้รอบตัว พอเราเดินใกล้เข้ามาถึงจุดที่ฮอลิคอปเตอร์ลำที่สามตก ต่างก็แลเห็นกลุ่มหมอกควันทึบทึมลอยอ้อยอิ่งอยู่ตามหุบเขาและก่อตัวหนาหนักปกคลุมไปทั่วจนพวกเราต่างมองไม่เห็นวิวทิวทัศน์เบื้องหน้า พรานเฒ่าจอพวาควาเห็นท่าชักจะไม่ดีเริ่มประนมมือขมุบขมิบปากราวกับร่ายมนต์คาถา ผมเริ่มตระหนกตกใจมากยิ่งขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง เจ้านัดเริ่มแสดงอาการลนลานเหมือนคนสิ้นสติสมประดีสักพักก็กรีดร้องก้องป่าแล้วล้มลงชักดิ้นชักงอน้ำลายฟูมปากอยู่บนพื้น ผู้ใหญ่องอาจ ผม และเจ้าหน้าที่อีกสามสี่คนเห็นเข้าดังนั้นต่างทำอะไรไม่ถูก พรานเฒ่าชาวกะเหรี่ยงรีบก้มตัวลงประคองเจ้านัดไว้บนเข่าตามด้วยเป่าลงกลางกระหม่อมของร่างนั้นแต่กาลกับตาลปัตร พรานเฒ่ากับล้มผลึ่งหงายหลังลงไปบนพื้นอีกคน พวกเราที่เหลือทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่รอบตัวเราจะถูกปกคลุมด้วยหมอกควันกลุ่มใหญ่ พรานป่าชาวกะเหรี่ยงก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือผิดปกติว่า
“พวกสูรีบออกไปจากป่านี้เร็วไว ไม่อย่างนั้นจะตายห่ากันหมดนี่แหละ รีบออกไป ไม่ต้องสนใจข้ากับไอ้เชี่ยปากหมานี่ ไป๊”
พวกเราละล่ำละลักทำอะไรกันไม่ถูก ลมเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยและกรีดเสียงหวิดหวิวให้ขนลุกเกรียวเซียวซ่าน พรานเฒ่าชาวกะเหรี่ยงเห็นพวกเรายังไม่รีบหนีไปจึงตวาดไล่อีกครั้ง ในที่สุดผู้ใหญ่องอาจก็ตัดสินใจอย่างกล้ำกลืนฝืนทนสั่งให้พวกเรารีบวิ่งออกจากจุดนั้นทันที
พวกเราวิ่งฝ่ากระแสลมที่กำลังเกรี้ยวกราด ได้ยินเสียงต้นไม้เบียดกันดังลั่นราวเสียงกัมปนาทแห่งอำนาจลี้ลับ สายฝนเริ่มกระหน่ำเทลงมาอย่างหนักหน่วง ไม่รู้ว่าพวกเราวิ่งออกมาไกลกันแค่ไหนเพราะเมื่อสิ้นเสียงสายฟ้าฟาดโครมครามลงมาจนแทบระเบิดโสตประสาทของพวกเรา ผมก็สิ้นสติ ล้มลงตรงนั้นและทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูมืดมนอนธกาล ทุกประสาทสัมผัสของผมดับวูบไปทันทีแล้วเหตุการณ์รอบตัวทั้งหลายก็ลางเลือนจางหายในบัดดล
“อาจารย์ อาจารย์” เสียงเรียกนั้นเบาบางสะท้อนก้องราวกำลังตะโกนเรียกอยู่บนหุบผา ผมค่อยๆ หรี่ตาปรับแสงและเสียงที่เหมือนลอยมาแต่ไกลนั้นก็แจ่มชัดมากขึ้นและในที่สุดผมก็สัมผัสได้ถึงความเป็นปกติของสภาพรอบกาย
“อาจารย์...อาจารย์ฟื้นแล้ว พวกเราอาจารย์ฟื้นแล้ว” เสียงเรียกนั้นเต็มไปด้วยความปรีดาและทำให้อีกหลายคนที่ทั้งยืนและนั่งอยู่ตรงนั้นหันมาทางผมเป็นสายตาเดียวกันพร้อมแสดงสีหน้าแววตาตื่นเต้นยินดีกันถ้วนทั่ว
“อาจารย์ฟื้นแล้ว อาจารย์ฟื้นแล้วจริงๆ อาจารย์เป็นไงบ้างครับ” เสียงชายหนุ่มวัยเลยกลางคนในชุดทหารสีเขียวเข้มเอ่ยถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ผมโอเคแล้วครับ แต่ตอนนี้ผมหิวน้ำมาก ขอน้ำให้ผมกินหน่อย” ไม่ทันพูดจบชายอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดทหารเช่นกันรีบผลีผลามหาน้ำมาให้ผมดื่มฉับไว
ผมรีบดื่มน้ำหมดแก้วและรู้สึกพละกำลังและสติกลับคืนมาอีกครั้ง จากนั้นนายทหารคนแรกที่เอ่ยถามผมก็เล่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างน่าตกใจ
“อาจารย์โชคดีมากที่รอดกลับออกมาจากป่านั้นได้” ผมตะลึงงันกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“อาจารย์รู้มั้ยครับว่าป่าผืนนั้นมันเต็มไปด้วยอาถรรพ์มากมาย ใครที่เข้าไปล้วนเจอดีกันทั้งนั้น” ผมนิ่งเงียบ
“อาจารย์เข้าไปได้ยังไงครับ”
นายทหารคนนั้นเอ่ยถามผมขึ้น
“ผมกับคณะกรรมการป่าชุมชนแห่งบ้านโป่งลึกต้องการเข้าไปช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ลำเลียงศพนายทหารที่ประสบอุบัติเหตุฮอตก”
“นี่อาจารย์กำลังจะบอกผมว่าอาจารย์ไม่ได้เข้าไปในป่าคนเดียว”
ผมขมวดคิ้วสงสัย แล้วเอ่ยว่า
“นี่ผู้พันกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ผมสับสนหมดแล้ว” ผมเรียก ‘ผู้พัน’ เมื่อเห็นยศประดับหน้าเสื้อของนายทหารที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“หน่วยของเราพบอาจารย์นอนหมดสติอยู่ราวป่าแก่งกระจานเมื่อเย็นนี้ ภายหลังได้รับรายงานการหายตัวไปของอาจารย์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เช้านี้พวกเราก็ดั้นด้นออกค้นหาทันที”
“ผมหายตัวไป?” ผมตั้งคำถามนั้นขึ้นมาด้วยความสับสนอย่างยิ่ง นี่มันเกิดอะไรขึ้นก็ในเมื่อเย็นวานเราเองไม่ใช่หรือที่ขออาสาติดตามกลุ่มคณะกรรมการป่าชุมชนแห่งบ้านโป่งลึกออกค้นหานายทหารที่ประสบอุบัติเหตุทางอากาศภายหลังทราบรายงานข่าวจากสื่อโทรทัศน์
“ทางภรรยาของอาจารย์โทรแจ้งตำรวจว่าอาจารย์ออกไปจากบ้านตั้งแต่เช้าของเมื่อวาน พอถามไถ่ว่าอาจารย์จะไปไหน อาจารย์ก็ตอบว่าจะเข้าป่าไปช่วยค้นหาศพนายทหารฮอตกกับกลุ่มชาวบ้านบ้านโป่งลึก แต่เมื่อภรรยาของอาจารย์ติดต่อสอบถามกับทางผู้ใหญ่บ้านบ้านโป่งลึก ผู้ใหญ่ก็บอกว่าไม่เห็นอาจารย์มาที่บ้านเลย เท่านั้นแหละก็เกิดการติดตาค้นหาอาจารย์ขึ้นทันที”
“แต่เมื่อวานผมไปที่หมู่บ้านบ้านโป่งลึกจริงๆ นะ และได้พบกับผู้ใหญ่บ้านด้วย” ผมยังยืนยันหนักแน่นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผม
“อาจารย์กำลังเจออาถรรพ์ป่าเล่นงานแล้วล่ะ คนแปลกหน้าที่ผ่านเข้ามาแถบแถวนี้ล้วนเจอดีกันทั้งนั้น เราพบรถอาจารย์จอดอยู่ตรงราวป่าด้านโน้นแสดงว่าอาจารย์ไม่ได้เดินทางเข้าป่าไปกับกลุ่มคณะกรรมการป่าชุมชนแห่งบ้านโป่งลึกแล้วล่ะ”
พอนายทหารเล่าจบแค่นั้น ผมเองก็แทบหมดสติไปอีกครั้ง แล้วยกมือท่วมหัวเพื่อกล่าวขมาลาโทษต่อสรรพสิ่งที่ผมอาจหลบหลู่ดูหมิ่นและก้มกราบไปทางทิศป่ากระจานสามหนด้วยความหวาดกลัว