Tuesday, May 27, 2008

สัมผัสความเป็นไทยใหญ่ ณ เมืองสามหมอก

ช่วงปิดเทอมหนึ่งซึ่งตรงกับเทศกาลปีใหม่ ผมจะกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดของตัวเองเสมอเพื่อร่วมเฉลิมฉลองฤดูกาลแห่งความสุขกับครอบครัว เช่นเดียวกันกับปีใหม่ที่ผ่านมา (2551) นอกจากผมจะกลับไปพบปะสังสรรค์กับสมาชิกในครอบครัวที่ห่างหน้ากันไปหลายเดือนแล้วผมยังมีโอกาสได้ไปเก็บข้อมูลเกี่ยวกับของกินและประเพณีของชาวไทยใหญ่จากภาคสนามอีกด้วย มูลเหตุดังกล่าวเกิดจากการที่คืนหนึ่งผมได้ไปเดินตระเวนบนถนนคนเดินรอบสวนสาธารณะหนองจองคำ อ. เมือง จ. แม่ฮ่องสอน ที่อยู่ไม่ห่างจากบ้านผมมากนัก ค่ำคืนนั้น ถนนคนเดินแออัดไปด้วยผู้คนมากมายเดินกันยุบยับไปหมด พ่อค้าแม่ค้านำสินค้าพื้นเมืองทั้งของกินและของฝากมาวางขายบนพื้นถนนเรียงรายเต็มสองฟากถนน ผมเดินชมไปเรื่อยเปื่อยพอเห็นสินค้าตัวไหนน่าสนใจก็แวะเลือกดูเผื่อจะได้ซื้อเป็นของติดไม้ติดมือไปฝากเพื่อน ๆ ที่วิทยาลัย พอเดินมาได้สักพักหนึ่งผมก็ได้ของฝากที่ถูกใจเป็นพวงกุญแจตุ๊กตาชนเผ่าตัวเล็ก ๆ ถามแม่ค้าวัยเลยกลางคนว่าชุดชนเผ่าแต่ละสีบนพวงกุญแจนั้นมีความหมายอะไรไหมเพราะเคยได้ยินได้ฟังมาว่าชุดแต่งกายของชาวเขาบางเผ่าพันธุ์นั้นจะแบ่งออกเป็นสี ๆ และแน่นอนว่าแต่ละสีย่อมมีความหมายของมันโดยเฉพาะชุดเสื้อผ้าของผู้หญิงอย่างเช่นผู้หญิงกะเหรี่ยงสะกอที่ยังไม่แต่งงานจะใส่ชุดสีขาวส่วนคนที่แต่งงานแล้วจะใส่สีแดง เมื่อแม่ค้าได้ยินคำถามดังกล่าวก็รีบส่ายหน้าเอ่ยบอกอย่างยิ้ม ๆ ว่าสีที่เห็นบนพวงกุญแจตุ๊กตาชนเผ่านั้นเป็นเพียงการตกแต่งสินค้าให้ดูโดดเด่นสวยงามเท่านั้นหาได้มีความหมายอะไรไม่ ได้ฟังดังนั้นผมก็ยิ้มออกมาแบบแห้ง ๆ พร้อมกับเกาหัวแกรก ๆ เมื่อยื่นเงินให้คนขายผมก็ตระเวนเดินต่อไป มาหยุดกึกอีกทีเมื่อเห็นการแสดงฟ้อนรำแบบไทยใหญ่บริเวณใกล้วัดจองกลางเรียกเสียงปรบมือจากนักท่องเที่ยวเกรียวใหญ่ การแสดงนั้นมีอยู่หลายชุดด้วยกัน บางชุดผู้แสดงสวมหน้ากากด้วย จากนั้นก็เดินเข้าไปในวัดจองกลาง ไปเห็นการปล่อยโคมลอยและ “จองพารา” หรือ ปราสาทพระจำลอง ที่ตั้งโชว์ไว้ใกล้จุดปล่อยโคมลอยมีพระเณรสี่ห้ารูปนั่งขายอยู่ เมื่อเดินออกมาจากวัดจองกลางก็ได้พบกับป้าไทยใหญ่คนหนึ่ง ชื่อ ป้ามะขิ่น ซึ่งผมรู้จักแกดีกำลังง่วนอยู่กับการขายของกินพื้นเมืองชาวไทยใหญ่ให้กับนักท่องเที่ยวที่ยืนอยู่หน้าร้านสี่ห้าคน นักท่องเที่ยวเหล่านั้นต่างสอบถามถึงของกินชนิดหนึ่งเป็นแผ่นสีเหลือง นุ่มนิ่ม น่าทาน ซึ่งป้ามะขิ่นเรียกมันว่า “ถั่วพูคั่ว” ป้าแกบอกว่ามันทำมาจากถั่วกาลาแปลักษณะคล้ายก้อนเต้าหู้สีเหลือง หั่นเป็นก้อนสี่เหลี่ยมบ้างสามเหลี่ยมบ้างพอคำแล้วนำมาทอด ได้ฟังดังนั้นทำให้ผมเกิดความสนใจ “เจ้าถั่วพูคั่ว” ขึ้นมาทันที จากนั้นผมก็แสดงความปรารถนาอยากให้ป้าแกเล่าถึงวิธีการทำอาหารชนิดนี้ให้ผมฟังอย่างละเอียดอีกทีในวันรุ่งขึ้น โดยการนัดหมายเวลากันไว้ที่บ่ายสองโมง ป้าแกตอบปากรับคำอย่างไม่อิดเอื้อน

เลิศรสอาหารไทยใหญ่

พอตกบ่ายวันนั้น ผมก็คว้ามอเตอร์ไซด์คู่ใจวิ่งตะบึงตะบันฉุยฉิวปลิวลมออกไปจากบ้านทันที บ้านป้ามะขิ่นอยู่ไม่ไกลจากบ้านผมมากนัก หลายปีก่อนผมเคยพาแม่มาบ้านป้าแกอยู่สองสามครั้งเพราะคุณแม่ผมกับป้ามะขิ่นสนิทกันแต่มาระยะหลังเมื่อผมต้องไปเรียนต่อยังต่างจังหวัดทำให้ผมไม่มีโอกาสแวะมาหาแกเวลาที่กลับมาเยี่ยมบ้านเหมือนเช่นเคย ป้ามะขิ่นอาศัยอยู่กับสามีที่ชื่อลุงเอ คุณแม่ผมได้แนะนำว่าถ้าอยากรู้เกี่ยวกับการทำ “จองพารา” ให้มาสอบถามแกได้ แกมีประสบการณ์ในด้านนี้อยู่ไม่น้อย

ไม่ถึงสิบนาที ผมก็ควบมอเตอร์ไซด์มาจอดพรืดตรงกำแพงหน้าบ้านป้ามะขิ่นซึ่งเป็นบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ พอเดินเข้าไปในบริเวณบ้านก็เห็นป้าแกกำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมอาหารที่จะไปขายที่ถนนคนเดินในค่ำคืนนี้อยู่ในห้องครัวที่เปิดโล่งอยู่ด้านข้างของตัวบ้านชิดติดกำแพง ผมยกมือไหว้กล่าวสวัสดีเมื่อป้าแกเห็นหน้าผม ต่างไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันและกันด้วยว่าคืนวานไม่มีเวลาพูดคุยกันมากมายนัก ผมเห็นถาดบรรจุแผ่นแป้งสี่เหลี่ยมสีเหลืองอ่อนถาดหนึ่งและในอีกถาดหนึ่งเป็นก้อนกลม ๆ สีขาววางอยู่บนโต๊ะใกล้กับที่ผมนั่งอยู่ จึงเอ่ยถามป้ามะขิ่นว่ามันคืออะไร ป้าแกบอกว่าเจ้าแผ่นสี่เหลี่ยมสีเหลืองนวลนั้นคือกากถั่วกาลาแปที่จะนำไปตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมหรือสามเหลี่ยมเล็ก ๆ แล้วนำไปทอดในกระทะน้ำมันร้อน ๆ กลายเป็น “เจ้าถั่วพูคั่ว” เลิศรส ส่วนเจ้าก้อนกลม ๆ สีขาวในอีกถาดหนึ่งนั้นคือส่วนที่เป็นน้ำแป้งถั่วกาลาแปที่ข้นเหนียวจับตัวกันเป็นก้อนเมื่อทิ้งไว้นาน ๆ พอเล่ามาถึงตรงนี้ ผมเลยถือโอกาสขอให้ป้าแกช่วยอธิบายขั้นตอนการทำ “เจ้าถั่วพูคั่ว” ตั้งแต่ขั้นเตรียมการจนสิ้นสุดให้กระจ่างอีกทีเผื่อว่าผมจะได้เอาไปลองฝึกทำดูที่บ้านหรือที่โรงเรียนเมื่อโอกาสอำนวย
ป้ามะขิ่นเริ่มสาธยายพลางทำงานของแกไปด้วย แกบอกว่าเครื่องปรุงถั่วพูคั่วนั้นประกอบไปด้วย ถั่วกาลาแปซึ่งเป็นพระเอกของกินเล่นไทยใหญ่ประเภทนี้ ถั่วกาลาแปนั้นผลิตในพม่าชาวไทยใหญ่ตลอดจนชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่น ๆ นิยมนำมาทำอาหารได้หลากหลายเมนู นอกจากเจ้าถั่วกาลาแปแล้วเครื่องปรุงรสอย่างอื่นที่ขาดไม่ได้ก็คือเกลือและผงชูรสที่จะทำให้รสชาติกลมกล่อมยิ่งขึ้น สิ่งจำเป็นที่จะต้องมีอีกอย่างหนึ่งก็คือ เครื่องโม่ใช้สำหรับโม่เจ้าถั่วกาลาแป ป้ามะขิ่นเงียบไปพักหนึ่งเพื่อเติมเครื่องแกงลงในหม้อมะละกอดิบที่หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ คลุกแป้งข้าวเจ้าผสมข้าวเหนียวเรียกว่า “ข่างปอง” หรือ มะละกอชุบแป้งทอด อาหารไทยใหญ่อีกเมนูหนึ่งที่แกทำขายที่ถนนคนเดินและผมก็เคยลิ้มรสอาหารพื้นถิ่นนี้อยู่บ่อยครั้ง จากนั้นป้าแกก็เล่าต่อ แรกเริ่มในการทำ “ถั่วพูคั่ว” ก็คือการเตรียมถั่วกาลาแปที่แช่น้ำ 2 ชั่วโมงไว้ให้พร้อม จากนั้นนำไปโม่ด้วยเครื่องโม่ เอาถั่วกาลาแปที่โม่ละเอียดแล้วมากรองด้วยผ้าขาวบางสามครั้งจนได้กากถั่วกาลาแปที่ละเอียดนุ่ม ทิ้งไว้ประมาณชั่วโมงครึ่งแล้วนำไปเทใส่ในภาชนะที่เตรียมไว้ตั้งบนไฟอ่อน หมั่นคนตลอดเวลา จนเดือด เทส่วนที่เป็นน้ำลงในถาดลึกใบหนึ่งส่วนที่เป็นกากก็เติมเกลือหรือผงชูรสลงไปแล้วคนให้เข้ากันจากนั้นก็เทลงในถาดสี่เหลี่ยมลึกอีกใบเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการอันสำคัญที่สุดสำหรับการทำ “ถั่วพูคั่ว” เพราะวิธีการที่เหลือนั้นไม่ยุ่งยากนักเพียงแค่นำเจ้าแผ่นแป้งกาลาแปสีเหลืองนวลนั้นไปหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมหรือสามเหลี่ยมแล้วทอดในกระทะน้ำมันร้อน ๆ เพียงแค่นี้ของกินเลิศรสชาวไทยใหญ่ชนิดนี้ก็พร้อมเสริฟได้ทันทีหรือจะจิ้มกินกับน้ำจิ้มรสเด็ดก็ยิ่งเพิ่มรสชาติมากขึ้น ป้ามะขิ่นยังบอกอีกว่าไม่นานมานี้มีคนกรุงเทพฯ และนักเรียนมาถามแกเกี่ยวกับวิธีการทำ “ถั่วพูคั่ว” แกก็อธิบายวิธีการทำของแกไปแต่พวกนั้นไม่เข้าใจแจ่มแจ้งบอกว่ายากไป แกต้องลงมือทำทีละขั้นตอนพร้อมกับเขียนวิธีการทำลงในสมุดหลายหน้ากระดาษจนแล้วจนรอดพวกนั้นก็ยังทำได้ไม่ดีนัก แกว่าแกคงเป็นครูสอนที่ไม่ดีพอ ผมถามแกว่านอกจากขาย “ถั่วพูคั่ว” กับ “ข่างป่อง” แล้วยังขายอะไรอีกไหม แกบอกว่าแกขายข้าวซอย ข้าวเส้น (ขนมจีนน้ำเงี้ยว) ด้วย แล้วกล่าวเพิ่มเติมว่าช่วงนี้แกขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเพราะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาอุดหนุนมากมาย โดยเฉพาะ เจ้าข่างปอง ที่พวกฝรั่งอั้งหม้อติดใจรสชาติเหลือล้น มาซื้อกินทุกคืน ระหว่างที่สนทนากันอยู่นั้น ลุงเอ ก็ลงมาจากบ้าน เห็นดังนั้นผมรีบยกมือไหว้กล่าวทักทายทันที พูดคุยจิปาถะกันได้สักพักผมก็เอ่ยถามลุงแกถึงความตั้งใจอีกอย่างหนึ่งในการมาพบปะพูดคุยวันนี้ นั่นก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับ “จองพารา” หรือปราสาทพระจำลอง พอบอกกล่าวให้แกรู้ แกก็บอกว่าแกเองไม่สันทัดในเรื่องนี้มากนักเพราะตะแกเป็นแค่ผู้ช่วยคนอื่นในการทำจองพาราเท่านั้น แล้วแนะนำให้ผมไปหา “ตุ๊ปี” หลวงพี่ที่วัดจองกลาง วัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่งของจังหวัดแม่ฮ่องสอนตั้งอยู่กลางใจเมืองติดหนองจองคำ ได้รับคำแนะนำดังนั้นผมก็กล่าวขอบคุณลุงเอและป้ามะขิ่นก่อนเอ่ยคำลาจากไปพร้อมย้ำบอกป้ามะขิ่นว่าคืนนี้จะไปอุดหนุนที่ร้าน

ประเพณีไตอันทรงคุณค่า

พอวันรุ่งขึ้น ผมควบมอเตอร์ไซด์เจ้าเก่าบึ่งไปวัดจองกลางพร้อมกับแม่ที่จะไปช่วยงาน “แฮนซอมโก่จา” ซึ่งเป็นงานทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้กับคนที่เสียชีวิตแล้วจัดโดยท่านเจ้าอาวาสวัดจองกลางเพื่อทำบุญให้กับโยมแม่ของท่านที่เสียไปได้ปีกว่าแล้วและครั้งนี้เป็นครั้งที่สามที่ทางเจ้าอาวาสจัดงาน “แฮนซอมโก่จา” ไปให้โยมแม่ของท่าน ครั้งล่าสุดจัดเมื่อช่วงออกพรรษาที่ผ่านมา พอไปถึงที่วัดก็เห็นผู้สูงอายุอยู่กลุ่มหนึ่งกำลังช่วยกันเตรียมทำกับข้าวอยู่บนระเบียงวัดใกล้กับศาลาการเปรียญ จากนั้นแม่ผมก็ปลีกตัวไปช่วยพวกป้าเหล่านั้นซึ่งล้วนรู้จักกันดีส่วนผมก็เดินเข้าไปถามท่านเจ้าอาวาสว่าตุ๊ปีอยู่หรือเปล่า ท่านบอกว่าไม่รู้แล้วให้ผมเดินไปหาเองที่กุฏิของท่านด้านหลังวัดติดโรงครัว ผมเดินลงมาจากวัดแล้วมายืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าโรงครัวเห็นเณรรูปหนึ่งเดินผ่านมาจึงเอ่ยถามถึงกุฏิของตุ๊ปี เณรน้อยรูปนั้นก็บุ้ยมือไปทางซอยเล็ก ๆ แต่ผมยังคงทำหน้าสงสัยอยู่ เณรเห็นดังนั้นจึงขันอาสาพาไปที่กุฏิของท่านด้วยตัวเองเมื่อไปถีงที่กุฏิของตุ๊ปีก็ปรากฏว่าไม่พบตัวท่านจึงบอกเณรว่าเดียวตอนบ่ายจะกลับมาหาอีกครั้ง หลังจากพระฉันเพลและแม่ก็กลับมาถึงบ้านแล้ว ผมจึงไปหาตุ๊ปีที่วัดอีกหน เมื่อจอดมอเตอร์ไซด์ทิ้งไว้ตรงบริเวณใกล้กับศาลาการเปรียญของวัดแล้ว ผมจึงเดินเข้าไปหาท่านที่กุฏิ และในที่สุดผมก็ได้พบกับตุ๊ปี จากนั้นเอ่ยบอกถึงจุดประสงค์ในการมาขอพบท่านมิวายอ้างถึงลุงเอและป้ามะขิ่นที่แนะนำมาสู่แหล่งอ้างอิงในวันนี้ เมื่อตุ๊ปีรับทราบเช่นนั้น จึงพาผมมาพูดคุยวิสาสะตรงบ่อน้ำหน้าวัดใกล้กันนั้นเป็น “จองพารา” ตั้งเด่นสง่าอวดโฉมนักท่องเที่ยวที่มีทุกวันและเป็นจุดที่วางขายโคมลอยในเวลาค่ำคืนยามที่ถนนคนเดินด้านหน้าวัดพลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยว ตรงข้ามกับจองพาราเป็นองค์เจดีย์ทรงเครื่องแบบมอญบนยอดประดับฉัตรสามชั้นภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แดดยามบ่ายไม่เจิดจ้าสักเท่าไหร่ ลมพัดกรูเกรียวมาเป็นระยะกระทบกระดิ่งที่แขวนไว้โดยรอบยอดฉัตรองค์พระเจดีย์กรุ๋งกริ๋ง อากาศเป็นใจเช่นนี้ช่างเหมาะแก่การนั่งพูดคุยกับผู้รู้เรื่องประเพณีการสร้างจองพารายิ่งนัก
ตุ๊ปีเล่าว่าการสร้างจองพารานั้นเพื่อเป็นพุทธบูชาตามความเชื่อเรื่องการรับเสด็จพระพุทธเจ้ากลับสู่โลกมนุษย์ หลังจากพระองค์ได้เสด็จขึ้นไปเทศนาโปรดพระมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในช่วงเข้าพรรษา เทศกาลนี้จัดขึ้นระหว่างวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันแรม 8 ค่ำ เดือน 11 ชาวไทยใหญ่เชื่อว่าการได้จัดทำจองพาราเพื่อรับเสด็จพระพุทธเจ้าที่บ้านของตัวเองนั้นจะทำให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ได้บุญกุศลและยังผลให้การประกอบอาชีพเกิดความสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย ด้วยเหตุนั้นเราจะเห็นจองพาราถูกยกขึ้นไว้นอกชายคา นอกรั้ว หรือบริเวณกลางลานทั้งที่บ้านและที่วัด จากนั้นจะมีการถวายข้าวที่จองพาราวันละครั้งและจุดเทียนหรือประทีบโคมไฟตลอดระยะเวลาของการจัดงานตั้งแต่แรม 1 ค่ำไปจนถึงแรม 8 ค่ำ ตลอดช่วงเทศกาล จะมีการละเล่นเฉลิมฉลองหลายชนิด เช่น ฟ้อนโต ฟ้อนรูปสัตว์ต่างๆ ฟ้อนก้าแลว (ฟ้อนดาบ)เฮ็ดกวามหรือการร่ายกลอน ฯลฯ ตามถนนหนทางและบ้านเรือนต่างๆ เป็นการละเล่นที่สืบเนื่องมาจากความเชื่อว่าสัตว์โลกและสัตว์หิมพานต์พากันรื่นเริงยินดีออกมาร่ายรำรับเสด็จพระพุทธเจ้า เมื่อแจ้งในจุดประสงค์การจัดทำจองพาราแล้ว ผมก็เอ่ยถามตุ๊ปีว่าการสร้างจองพารานั้นยากหรือไม่หลวงพี่ท่านตอบฉะฉานว่าบรมยากน่าดูเพราะว่ามากด้วยขั้นตอนและรายละเอียดที่ต้องใช้ฝีมืออย่าประณีตไม่ว่าจะเป็นการทำโครงด้วยไม้ไผ่ การตกแต่งลวดลายด้วยกระดาษสาหรือกระดาษสีอื่น ๆ การประดับตกแต่งด้วย หน่อกล้วย อ้อย และ โคมไฟ เหล่านี้ล้วนอาศัยความรู้ความชำนาญทั้งสิ้น ตุ๊ปีเสริมว่าทุก ๆ ปีทางวัดจองกลางจะส่งผลงานชิ้นนี้เข้าร่วมการประกวดในขบวนแห่จองพาราโดยมีหัวเรี่ยวหัวแรงอย่างตุ๊ปีเป็นโต้โผใหญ่ในการจัดทำปราสาทพระจำลองนี้ ทางวัดมิได้มุ่งเน้นไปที่รางวัลที่จะได้รับจากกองประกวดแต่เพื่อธำรงรักษาประเพณีดีงามอันเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนนี้ไว้สืบไปและเพื่อนำไปจัดแสดงไว้ให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้เห็นถึงความศรัทธาของชาวไทยใหญ่ที่มีต่อพระพุทธศาสนา เมื่อได้ฟังตุ๊ปีอธิบายดังนั้น ผมจึงเห็นแจ้งถึงความสำคัญของประเพณีการสร้างจองพารานี้อย่างไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น ความเชื่อความศรัทธาในพระพุทธศาสนานั้นคืออัตลักษณ์ของชาวไทยใหญ่โดยแท้จริง เราจะเห็นได้ว่างานประเพณีต่าง ๆ ของชาวไทยใหญ่ในรอบหนึ่งปีนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับศาสนาทั้งสิ้นไล่มาตั้งแต่ ปอยจ่าตี่หรืองานประเพณีบูชาเจดีย์ทราย ขึ้นจองปีใหม่หรืองานประเพณีทำบุญขึ้นวันปีใหม่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ การกั่นตอหรือประเพณีการขอขมาต่อผู้สูงอายุ พ่อแม่ และพระสงฆ์ ปอยส่างลองหรืองานประเพณีบวชลูกแก้ว ต่างซอมต่อหรือประเพณีการถวายข้าวมธุปายาสแก่วัดที่ชาวบ้านศรัทธา แห่ต้นเกี๊ยะหรืองานประเพณีถวายต้นสนพร้อมด้วยเทียนไขหลายพันเล่มและเครื่องไทยทานแก่วัด ปอยเหลินสิบเอ็ดหรือประเพณีทำบุญออกพรรษา และ แห่จองพารางานประเพณีทำปราสาทพระจำลองเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าชาวไทยใหญ่นั้นถือเป็นพุทธศาสนิกชนที่มีความศรัทธาอย่างแรงกล้าทีเดียว นอกจากตุ๊ปีจะชำนาญในเรื่องการทำจองพาราแล้ว ท่านยังทำโคมลอยขายให้นักท่องเที่ยวด้วยเพื่อนำรายได้เข้าวัด โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เป็นฤดูท่องเที่ยวจะมีนักท่องเที่ยวมากมายมาเดินตระเวนบนถนนคนเดินและแวะเข้ามาบริเวณวัดเมื่อเห็นมีโคมลอยวางขายก็จะซื้อปล่อยกัน เมื่อถึงเวลาแล้วอันสมควรผมก็กราบนมัสการลาตุ๊ปี
วันนี้ผมค้นพบอย่างหนึ่งว่า ณ เมืองสามหมอกบ้านเกิดของผมแห่งนี้ยังมีความเป็นไทยใหญ่รอให้ผมสัมผัสอีกมากมาย

คือ “สมบัติโลก” ที่ทุกคนควรรักษา

ตะวันรอนทอดทอแสงอ่อนๆ อยู่ตรงปลายฟ้า ความครึกครื้นเริ่มปรากฏตรงถนนคนเดินรอบหนองจองคำเมื่อพ่อค้าแม่ขายกุลีกุจอจัดข้าวเรียงของหน้าร้านเพื่อต้อนรับทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นที่คงจะมากันมากมายในค่ำคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของปีนี้ ลมหนาวพัดพรูมาบางเบาต้องกับน้ำในหนองจองคำสั่นระริกแลเห็นฝูงปลาเล็กใหญ่วูบไหวอยู่ใต้น้ำ นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติกำลังเพลิดเพลินให้อาหารปลาอยู่ตรงศาลาริมหนอง บนถนนเลียบหนองด้านหน้าวัดจองกลางป้ามะขิ่นกับลุงเอกำลังนำ “ถั่วพูคั่ว” และของกินไทยใหญ่อื่น ๆ ออกมาวางขายหน้าร้านอย่างแข็งขัน ส่วนตุ๊ปีพร้อมกับพระเณรรูปอื่น ๆ กำลังยุ่งอยู่กับการจัดเรียงโคมลอยอยู่ตรงโต๊ะภายในวัดจองกลางบริเวณที่ผมได้ไปนั่งพูดคุยกับหลวงพี่ท่านเมื่อบ่ายวันนี้ การได้พูดคุยกับผู้รู้ทั้งสอง ป้ามะขิ่นและตุ๊ปี นอกจากจะได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับอาหารการกินของชาวไทยใหญ่และประเพณีการทำจองพาราแล้ว ผมยังสัมผัสถึงงานศิลปะของความพิถีพิถันในการสรรสร้างความเป็นไทยใหญ่ให้ก่อเกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของกลุ่มชนที่ร่ำรวยด้วยพลังศรัทธาในพระพุทธศาสนา นอกจากนั้น วัฒนธรรมประเพณีเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวไทยใหญ่ได้อย่างชัดเจน การได้ลองพูดคุยกับชาวไทยใหญ่หรือชนกลุ่มอื่นถึงสิ่งที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์ที่เด่นชัด เราจะค้นพบว่าคุณค่าวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละชาติพันธ์นั้นล้วนน่าศึกษาและต้องอนุรักษ์ไว้อย่างเหนียวแน่นด้วยชีวิตจิตใจ ไม่ควรเฉพาะเจาะจงไปว่าจะต้องเป็นหน้าที่รับผิดชอบของกลุ่มคนที่ยึดถือวัฒนธรรมประเพณีนั้นนั้นอย่างเดียวแต่ทุกคนล้วนมีส่วนรับผิดชอบร่วมกันในการรักษา “สมบัติโลก” นี้ไว้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็น “มนุษย์ผู้มีอารยธรรม”โดยแท้จริง.

Monday, May 26, 2008

บันทึกการเดินทางสู่ลาว 10 เมษายน – 17 เมษายน

มันคือการเดินทางที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น เต็มไปด้วยประสบการณ์ และการค้นพบในสิ่งที่ผมแสวงหามาตลอดทั้งชีวิต เรื่องราวทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นที่ลาว ประเทศเล็ก ๆ ในอินโดจีนที่กำลังเติบโตในหลาย ๆ ด้าน ลู่ทางการทำธุรกิจกำลังเปิดกว้างมากขึ้นเมื่อรัฐบาลลาว ไทย พม่า เวียดนาม และจีน (ยูนนาน และกว่างซี) ตกลงเซ็นสัญญาว่าด้วยความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจที่เรียกว่า GMS

พวกเรา (ผมและเพื่อน ๆ อีกห้าคน) ออกเดินทางเมื่อเวลาห้าทุ่มกว่า ๆ ของคืนวันที่ 10 เมษายน 2551 ด้วยรถตู้ที่พวกเราเหมาเช่าด้วยราคาห้าพันห้าร้อยบาท คนขับเป็นชายวัยกลางคนร่างท้วม ก่อนขึ้นรถผมกับเพื่อนอีกคนอัดเบียร์ตราหัวเสือดาว (ลีโอ) ไปสี่ขวด กลิ่นแอลกอฮอล์ระบายอยู่โดยรอบเวลาที่สนทนากับคนขับและเพื่อนร่วมทาง รถตู้สีขาวนวลวิ่งไปบนถนนมิตรภาพอย่างค่อนข้างทุลักทุเลเพราะการจราจรที่ติดขัด เป็นค่ำคืนที่ผู้คนเริ่มทยอยเดินทางกลับบ้านเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ ผมม่อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียกอปรกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ในเลือด โชคดีที่ยังมีเพื่อนผู้ชายอีกคนพูดคุยเป็นเพื่อนคนขับอยู่ข้างหน้า รถตู้วิ่งเข้าเทียบสถานีขนส่งจังหวัดอุดรธานีเมื่อเวลาประมาณตีห้ากว่า ๆ พวกเราจ้างรถจัมโบ้(สามล้อติดเครื่อง)ที่เรียกกันว่า ‘สกายแล็บ’ จาก บขส.ไปยังท่ารถอีกที่หนึ่ง ต่อราคากับคนขับสามล้อคอเป็นเอ็นกว่าจะได้ราคาที่สมใจ นั่งรถต่อจากอุดรไปหนองคายเมื่อเวลา หกโมง ไปถึงที่หนองคายราว ๆ สัก เจ็ดโมง นั่งรอพ่อของเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมารับอยู่ตรงซุ้มพญานาคในตัวเมืองหนองคาย พอมาถึงก็ยกมือไหว้กล่าวสวัสดีแล้วขึ้นรถไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของไทย เสร็จสรรพก็ข้ามสะพาน มิตรภาพไทย ลาว ไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองของลาว พ่อของเพื่อนจัดการให้ทุกอย่าง สอบถามได้ความว่าถ้ามีพาสปอร์ตอยู่ลาวได้สามสิบวันแต่ถ้าทำเอกสารผ่านแดนอยู่ได้แค่สามวัน หลังจากนั้นก็กลายสภาพเป็นผู้ลักลอบเข้าเมือง เมื่อรถวิ่งเข้าสู่เมืองหลวงของลาว ผมรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นระรัวเหมือนตีกลอง ความฝันที่อยากมาเที่ยวลาวในที่สุดก็เป็นจริง สัมผัสแรกที่ผมได้พบคือที่ลาวคนเขาขับรถบนเลนส์ขวา พวงมาลัยรถอยู่ด้านซ้าย ป้ายโฆษณาเอ็มร้อยห้าสิบกับเบียร์ลาวเด่นหราใจกลางเมือง เพื่อนผมชี้ให้ดูบริษัทเบียร์ลาวอย่างรู้สึกภูมิใจอยู่ในที พร้อมกล่าวว่าเวียงจันทร์เปลี่ยนไปมากในช่วงสองสามปีนี้ พวกเราพักกินข้าวกินปลากันที่บ้านเพื่อนรุ่นน้องก่อนที่จะพากันตระเวนเที่ยวในเวียงจันทร์ ผมแวะซื้อซิมโทรศัพท์ของลาวเพราะต้องใช้ติดต่อเพื่อน ๆ ในช่วงเจ็ดถึงแปดวันที่ต้องอยู่ที่นี่ ที่ลาวมีซิมที่นิยมกันอยู่สองสามบริษัท อย่างแรกเป็นของบริษัทเอไอเอส ชื่อว่า เอ็มโฟน อันที่สองชื่อว่า TIGO (ไทโก้ ย่อมาจาก Thailand Industry Goods Opportunity) อีกอันหนึ่งนั้นผมจำชื่อไม่ได้ เพื่อนผมที่เวียงจันทร์คนหนึ่งบอกว่า วัยรุ่นในลาวนิยมใช้ TIGO กันผมเลยตามกระแสซื้อซิมไทโก้ซะเลย สนนราคาประมาณ 20000 กีบ เห็นตัวเลขแล้วอย่าได้ตกใจไปเพราะเมื่อตีเป็นเงินไทยแล้วคงราว ๆ 70 บาท จากนั้นผมก็ไปแลกเงินกีบ ที่โน่นเขาพูดว่า เปลี่ยนเงิน เวลานั้น หนึ่งบาทแลกได้สองร้อยเจ็ดสิบห้ากีบ พอรับเงินผมก็พูดว่า ขอบใจซึ่งมีความหมายครอบคลุมถึงคำว่า ขอบคุณ พบเจอใครก็พูดว่า สบายดี หรือ สวัสดีในภาษาไทย พวกเราไปเที่ยววัดพระธาตุหลวงและวัดพระแก้ว ผ่านประตูไซกับอนุสาวรีย์เจ้าฟ้างุ้มผู้รวบรวมคนลาวก่อตั้งอาณาจักร ล้านซ้าง ซึ่งเราวางแผนจะมาเที่ยวกันในตอนเย็น อากาศที่เวียงจันทร์ร้อนอบอ้าวเหลือทน ตกบ่ายไปนั่งกิน ‘ข้าวจี่’ กับ ‘พันปิ้งเอน’ ที่ริมฝั่งโขง ฝั่งตรงข้ามเป็นอำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคายได้รู้จักกับเพื่อนรุ่นพี่ของเพื่อนคนหนึ่งชื่อว่า พี่แต อัธยาศัยไมตรีดีมาก พี่แกเล่าว่า คนไทยไม่สามารถข้ามแม่น้ำโขงหรือแม่น้ำของอย่างที่คนลาวเรียกกันมาไกลเกินกว่า 15 เมตร แต่คนลาวสามารถข้ามไปฝั่งไทยได้อย่างอิสรเสรี ไม่รู้ที่พี่แกเล่าจะมีอยู่ในสนธิสัญญาไทย ฝรั่งเศสหรือเปล่า

ตกเย็นไปเที่ยวลานน้ำพุดนตรีที่ประตูไซพบเจอนักท่องเที่ยวมากมาย (คนไทยก็เยอะ) จากนั้นก็ไปหาซื้อตั๋วรถที่ บขส. ปรากฏว่าคนแน่นมาก เจ้าหน้าที่บอกให้พวกเรามาซื้อตั๋วตอนจะขึ้นรถและอาจต้องนั่งเก้าอี้เสริมจากนั้นพวกเราพากันไปนั่งร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งในเวียงจันทร์ พบนักเที่ยวมากมาย นั่งดื่มเบียร์ลาวจนหัวเริ่มหนักจึงพากันไปที่ย่าน เซ็นเตอร์พอยท์ของลาวหรือแหล่งรวมวัยโจ๋นั่นเอง เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งซึ่งอยู่หลวงพระบางบอกว่าวันรุ่งขึ้นจะมีญาติเอารถตู้ขึ้นหลวงพระบางและบอกว่าถ้าพวกเราซื้อตั๋วไม่ได้ให้ไปกลับญาติเขา ผมกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นคนไทยอีกคนในกลุ่มตกลงทันที ส่วนเพื่อนผู้หญิงที่เป็นคนท้องถิ่นจะนั่งเครื่องขึ้นหลวงพระบางไปก่อนแล้วจะหาที่พักรอไว้ คืนนั้นก่อนเอาหัวถึงหมอนได้พบเจอกับเรื่องตื่นเต้นที่มาพร้อมกับบทเรียนราคาแพง หลังจากกลับเข้าที่พักไม่นานพี่แตก็พาน้องแกและแฟนของน้องมารับพวกเราสามคนไปเที่ยวผับแห่งหนึ่งในเวียงจันทร์ตามที่ตกลงกันไว้ ระหว่างทางที่จะเลี้ยวก็มีมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งวิ่งโฉบมาจากด้านหลังแล้วชนเข้ากับข้างรถพวกเราจังเบอร์ แล้วคว่ำลงตรงนั้น คนขับเป็นเด็กหนุ่มผู้ชาย ส่วนคนซ้อนเป็นเด็กสาววัยกำดัด เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุรีบมาดูทันทีแล้วบอกให้พวกเราพาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล คืนนั้นผมกับเพื่อนคนไทยอีกคนต้องออกค่ายาช่วยพี่แต ถือว่าฟาดเคราะห์ไปเต็มรัก


รุ่งเช้าพวกเรานั่งรถแดวูมินิคาร์ขึ้นหลวงพระบางซึ่งเป็นรถยอดนิยมของที่นี่เลยทีเดียวผมรู้สึกตื่นเต้นมากจินตนาการภาพหลวงพระบางราวกับดินแดนสุขาวดีหรือยูโทเปียที่พวกหนุ่มสาวผู้รักการแสวงหาใฝ่ฝันถึง หลวงพระบางคือปลายทางในชีวิตของผมเลยทีเดียว พูดก็พูดเถอะ บนโลกกว้างใบนี้มีสถานที่ผมใฝ่ฝันอยากไปค้นหาเพียงไม่กี่ที่เอง นอกจากหลวงพระบางและปายที่ผมไปดูดดื่มประสบการณ์มาแล้ว ที่เหลือก็มี ซาปา ทางภาคเหนือของเวียดนาม เนปาล และ ภูฐาน สถานที่เหล่านี้คือเมืองในฝันของผมที่ครั้งหนึ่งในชีวิตนี้จะต้องไปเยือนให้ได้ คนขับรถตู้เป็นชายวัยเลยกลางคน อดีตทำธุรกิจล่องเรือตอนนี้กำลังหันเหมาทำธุรกิจแร่ทองคำกับนักธุรกิจชาวสิงคโปร์ที่วังเวียง เมืองเล็ก ๆ ระหว่างเวียงจันทร์และหลวงพระบาง แฟนแกชื่อพี่หมอน หญิงสาวผู้มีมิตรสัมพันธ์เป็นเลิศ ทั้งคู่มีลูกชายหนึ่งคนและลูกสาวอีกหนึ่งกำลังอยู่ในวัยพัฒนาทางความคิดเพื่อก้าวย่างสู่วัยรุ่นตอนต้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ถัดมาอีกคนคือเด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว รุ่นเดียวกับพวกเราสามหน่อที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย พี่หมอนเล่าว่า มีฝรั่งมาขอเช่าบ้านของเขาที่หลวงพระบางซึ่งเป็นมรดกที่พ่อแม่ได้ทิ้งเอาไว้เมื่อลาลับโลกไป แต่นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งชาติลาวคนนี้กลับมีความคิดที่สวนทางกับหนุ่มลาวอีกหลายคนคือไม่ยอมให้ธุรกิจในเมืองนี้ตกเป็นของคนต่างชาติและมีความคิดจะมาทำกิจการส่วนตัวหลังจากเรียนจบ นอกจากเป็นพวกหัวก้าวหน้าแล้วเขายังมีความสามารถในหลาย ๆ ด้านที่เป็นสมบัติของลูกผู้ชายซึ่งถ้าไม่มีเขา การเดินทางสู่หลวงพระบางอาจลำบากมากยิ่งขึ้น หลังจากรถเราวิ่งออกจากวังเวียง หนทางก็เริ่มที่จะคดโค้งและลัดเลาะไปตามหุบเขา สักพักรถเราก็จอดข้างทางเช่นเดียวกับรถอีกหลายคัน พี่มอญถือธูปลงไปจากรถแล้วเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งยังศาลพระภูมิที่มีผู้คนอยู่ไม่น้อยกำลังสักการะอยู่


“เป็นการบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ปกปักคุ้มครองพวกเราตลอดการเดินทางครั้งนี้”

พี่หมอนชี้แจงหลังจากกลับขึ้นมาบนรถ ผมค้นพบอย่างหนึ่งว่า คนลาวโดยส่วนใหญ่นั้นจะเคร่งครัดในศาสนาเป็นอย่างมากและมีความเชื่อในรูปแบบ Invisible Hand หรือ มือที่มองไม่เห็น ค่อนข้างสูง Invisible Hand อาจหมายถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจพิสูจน์ได้ แม้ถนนหนทางจะดูคับแคบสวนทางกันที่หายใจรดต้นคอเพราะระยะห่างเพียงแค่ศอกเดียว แต่ผมก็ยังเห็นรถหลายคันวิ่งฉุยฉิวปลิวลมราวกับถนนสายนี้เป็นถนนซูเปอร์ไฮเวย์มาตรฐานสากล เสียงเพลงไพเราะนุ่มหูที่ขับกล่อมอยู่และภาพสองข้างทางที่ถูกฉีกออกทำให้ผมต้องยกล้องขึ้นกดชัตเตอร์บ่อยครั้งและนั่นก็ไม่อาจทำให้ผมหลับตาลงได้ ขณะที่กำลังชื่นชมความงามของธรรมชาติอยู่นั้น รถเราก็หยุดกึกลง ทุกคนมองไปที่คนขับเป็นสายตาเดียว สักพักจึงถึงบางอ้อ เมื่อคนขับบอกว่ายางรถแตก ทุกคนลงจากรถ หนุ่มนักศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยลาวกับคนขับรีบเร่งจัดการเปลี่ยนยางอย่างแคล่วคล่องว่องไว ไม่นานนักพวกเราก็เดินทางต่อ ความโชคร้ายนั้นมักจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันหรือที่ภาษาปากเรียกว่า ซวย ระดับความซวยสามารถแบ่งแยกได้อีกเป็นซวยสองชั้น สามชั้น หรือจะสี่ห้าชั้นก็ว่าไป มันเป็นสิ่งที่ผมเองยังคลางแคลงใจอยู่ไม่หายว่าเมื่อเกิดโชคร้ายหรือซวยขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วนั้นมันมักจะมีครั้งที่สองสามหรือสี่ตามมาด้วย คืนก่อนนั้นพวกเราก็เจออุบัติเหตุที่เวียงจันทร์ ไม่พอวันนั้นรถที่พวกเราโดยสารมาด้วยดันยางแตกอีก ตอนแรกผมคิดว่าทุกอย่างคงจะจบสิ้นแล้ว แต่ดูเหมือนความซวยมันยังไม่ยอมเลิกราวีเพราะก่อนเข้าสู่เมืองหลวงพระบางพวกเราก็เจอความซวยเป็นหนที่สามผมเรียกมันว่าซวยสามชั้น มันเกิดขึ้นในเวลาที่หลายคนกำลังหลับใหล ฟ้ามืดทะมืน ฝนกำลังจะเทลงมาในอีกไม่กี่อึดใจ เมื่อรถเราวิ่งมาถึงหมู่บ้านน้ำหกซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวม้ง ในวินาทีนั้นรถเราชนเข้ากับบางสิ่งบางอย่างแล้วหมุนติ้วไปอัดกับบ้านหลังหนึ่ง ทุกคนในรถตกตะลึงพรึงเพริดสักพักมีเสียงตะโกนขึ้นว่ามีเด็กอยู่หน้าบ้านไม่รู้ถูกชนหรือเปล่า พวกเรารีบลนลานลงมาจากรถท่ามกลางสายฝนที่ปรายโปรยลงมาอย่างหนักหน่วง มีเสียงร้องไห้ของลูกสาวพี่หมอนทำให้ผมตะลึงงันทำอะไรไม่ถูก และคิดในใจว่าเด็กที่อยู่หน้าบ้านหลังนั้นคงโดนอัดก็อบปี้แน่นอน แต่คุณพระคุณเจ้ายังคุ้มครองพวกเรา ทุกคนปลอดภัยรวมทั้งเด็กน้อยคนนั้นด้วยแต่หน้าบ้านหลังนั้นยุบเยินไม่เป็นชิ้นดี และไฟหน้ารถพวกเราก็แตกเละเทะ บนจุดที่เกิดเหตุ ปรากฏท่อนซุงสูงเท่าขาของคนที่สูงราว 170 ซม. คนขับอ้าปากหวอด้วยความแปลกใจพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นว่าตอนขับมานั้นไม่เห็นท่อนซุงดังกล่าวเลยแล้วทำไมตอนนี้ถึงมาโผล่ตรงนี้ได้ นี่ไม่ใช่การเขียนสไตล์ Magical Realism ที่บรรยายเกินจริง แต่สิ่งที่เราได้พบเจอในวันนั้นเหมือนพวกเรากำลังถูก Invisible Hand เล่นงานอยู่ ความเชื่อไม่จำเป็นต้องใช้หลักตรรกะศาสตร์ในการพิจารณา มันสามารถสัมผัสได้ด้วยตัวบุคคลและความรู้สึกภายใต้จิตสำนึก พี่หมอนยกมือท่วมหัวสาธุ คนขับลั่นคำขอขมาเจ้าที่เจ้าทางที่ตัวเองไม่ได้ลงไปสักการะภายหลังออกจากวังเวียง หนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งชาติลาวถอนหายใจเฮือกใหญ่และเอ่ยบอกความในใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกือบคร่าชีวิตพวกเรา สหายหนุ่มหลวงพระบางยืนนิ่งอธิษฐานในใจ ส่วนเพื่อนคนไทยมีสีหน้าซีดเผือด เธอคงจะจดจำเหตุการณ์ครั้งนี้ไปจนวันตาย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตผมที่พานพบเหตุการณ์เช่นนี้ หลังจากที่หายตกใจ พวกเราก็รีบเอาท่อนซุงออกจากถนน และดันรถออกจากจุดเกิดเหตุ ผมเดินไปดูด้านหลังบ้าน อุทานในใจเมื่อเห็นภาพที่อยู่เบื้องหน้า มันคือหุบเหวลึกที่ตกลงไปแล้วได้ตีตั๋วไปทัวร์เมืองผีแน่นอน ผมกับเพื่อนคุยกันว่าเมื่อถึงหลวงพระบางแล้วจะต้องรีบทำบุญสะเดาะเคราะห์ทันที เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น เป็นประจักษ์พยานชัดเจนถึงดวงชะตาของพวกเรา ท้องฟ้ายังคงมืดมิด ฝนยังเทลงมาไม่ขาดสาย คนในหมู่บ้านอุ้มลูกจูงหลานทยอยมาดูเหตุการณ์ ตาแก่คนหนึ่งเอาท่อนไม้ขนาดเสารั้วไปวางขวางล้อรถไว้คงคิดว่าพวกเราจะหนี เห็นดังนั้นผมกับเพื่อน ๆ มองหน้ากันแล้วส่ายหัว ถ้าคิดจะหนีป่านนี้พวกเราคงไปไกลแล้ว ตาแกคนนี้คงตามกลิ่นพวกเราไม่ได้แน่นอน นั่นเป็นความคิดของพวกขาดความรับผิดชอบในสังคมและพวกไร้การศึกษา ความคิดเช่นนั้นไม่เคยแวบขึ้นมาในหัวพวกเราเลย ฉับพลันที่พวกเราตั้งสติได้ก็รีบโทรแจ้งตำรวจและประกัน ทุกคนล้วนอยากให้ผ่านพ้นวันนี้ไปด้วยดีไม่มีอะไรให้ต้องกลับมาคิดให้หนักหัว ยืนรอเจ้าหน้าที่ตำรวจนานร่วมชั่วโมง พอเจ้าหน้าที่ในชุดเสื้อสีเขียวขี้ม้ากางเกงขายาวกรอมเท้าและรองเท้าหนังสีดำ มาถึงพวกเราก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที แต่ตาแก่คนนั้นไม่เชื่อที่เราพูด หนำซ้ำหาว่าเรากุเรื่องขึ้นมา แต่โชคดีที่มีพี่คนหนึ่งซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดช่วยไว้ได้ ไม่อย่างนั้นคงได้เปิดกล้องโชว์รูปว่าพวกเราเดินทางมาจากเวียงจันทร์เพื่อเป็นการยืนยันหลักฐาน กว่าจะตกลงกันได้ก็กินเวลาไปอีกเกือบชั่วโมง หลังจากกลับขึ้นรถ หนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งชาติลาวก็ทำหน้าที่โชเฟอร์แทนคนขับคนเดิมแล้วออกจากหมู่บ้านแห่งนั้นอย่างไม่รีบร้อนพร้อมกับสายฝนที่หยุดโปรยปราย

ระหว่างทางจากวังเวียงสู่หลวงพระบางนั้น จะมีเจ้าหน้าตำรวจเฝ้าอยู่ข้างทางถนนเพื่อป้องกันการลอบโจมตีของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลลาวที่มักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และพวกตำรวจเหล่านี้จะยกมือเรียกขออาหารหรือบุหรี่จากผู้โดยสารที่ผ่านไปมา ไม่เฉพาะแค่กลุ่มตำรวจ เด็ก ๆ ชาวเขาในหมู่บ้านตามสองข้างถนนก็เรียกร้องความสงสารจากคนที่สัญจรผ่านไปมาเช่นกัน ภาพที่เห็นนั้นทำให้ผมสลดหดหู่ใจไม่น้อย พวกเรามาถึงหลวงพระบางเมื่อความมืดคลี่ปีกโอบล้อมทั้งเมือง หลังจากไปส่งหนุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาวที่บ้านแล้ว พวกเราก็ไปกินข้าวกันที่บ้านพี่หมอน พูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่ได้พบเจอในวันนี้อย่างตื่นเต้น ได้กินอาหารลาวอย่างเอร็ดอร่อย และได้สัมผัสน้ำใจที่งดงามของคนที่นั่น จากนั้นพี่เขยของสหายหลวงพระบางก็ไปส่งพวกเราที่เฮือนพัก จันสะหว่าง แถววัดภูสี ซึ่งเพื่อนผู้หญิงที่เป็นคนท้องถิ่นได้มาจองไว้ให้เรียบร้อยแล้วและที่สำคัญที่พักแห่งนี้ดำเนินกิจการโดยครอบครัวของพี่แสง แฟนของเพื่อนคนดังกล่าว คืนนั้นหลังจากเข้าพักแล้ว พวกเราก็พากันไปเที่ยวงานประกวดนางสังขารหรือนางสงกรานต์ ที่งานคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย พบเห็นกองเชียร์ของผู้เข้าประกวดแต่ละคนตีกลองร้องโห่ดังระงม พิธีกรประกาศว่ามีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติลาวพร้อมกับมีแขกผู้ทรงเกียรติมาจากประเทศเวียดนามด้วยและพูดย้ำแล้วย้ำอีกอย่างภาคภูมิว่าหลวงพระบางได้รับรางวัลเมืองมรดกที่น่าอยู่ที่สุดจาก UNESCO หลังจากได้ยลชมผู้เข้าประกวดบางคนแล้วพวกเราก็ไปดริ๊งกันที่ดาวฟ้าบันเทิง ดิสโก้เธคขึ้นชื่อของหลวงพระบาง พอเดินเข้าไปข้างในก็เห็นหนุ่มสาววัยรุ่นลาวเบียดกันเต้นกระจาย พวกเราสั่งเบียร์ลาวมานั่งดื่มกันได้พักหนึ่งก็เริ่มจะแสดงอาการลุกขึ้นส่ายกันไม่แพ้ผู้บ่าวผู้สาวลาวจนผับปิด จากนั้นพวกเราก็ไปกินบะหมี่เป็ดรสเด็ด แล้วไปจิบเบียร์ต่อที่โรงโบว์ลิงแห่งเดียวในหลวงพระบางดำเนินกิจการโดยคนเวียดนาม ก่อนจะกลับเข้าที่พักนอนหลับเอาแรง

รุ่งเช้าผมกับเพื่อนคนไทยรีบสีขี้ตาไปใส่บาตรกัน เห็นนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นนั่งรอพระผ่านมาเป็นแถวยาวบางคนยืนถ่ายรูป มีเด็กผู้หญิงลาวคนหนึ่งมาเสนอขายชุดใส่บาตรให้กับเราสองคน เราตกลงซื้อแล้วไปนั่งต่อแถวท้ายสุด ไม่นานนักพระก็เดินผ่านมา เช้านั้นรู้สึกอิ่มเอิบเบิกบานใจเป็นที่สุด สายหน่อยพวกเราก็ไปเที่ยวชมตลาดนัดกัน ระหว่างทางแวะซื้อปืนฉีดน้ำและแว่นกันแดด พี่แสงพาพวกเราไปบ้านเพื่อนพี่แก พอไปถึงก็เห็นผู้ชายสี่ห้าคนและผู้หญิงอีกราวสามคนนั่งล้อมวงดื่มเบียร์ลาวกันอยู่บนเก้าพร้อมกับเสียงเพลงของติ๊ก ชีโร่สมัยเกือบยี่สิบปีที่แล้วดังอยู่โดยรอบ บนสนามบาสเกตบอลขวดเบียร์ลาวราวเจ็ดแปดขวดตั้งวางรวมกันอยู่แสดงถึงความนิยมของคนลาวในการดื่มเบียร์ พอหย่อนก้นลงนั่งได้ไม่ทันไร พี่คนหนึ่งก็ยกแก้วเบียร์ให้ผมทันที รับมาดื่มหมดไปสองแก้วก่อนจะขอตัวลา ผมกับเพื่อนคนไทยเดินไปเที่ยวตลาดนัด ส่วนพี่แสงกับแฟนก็แยกตัวไปหาเพื่อนคนอื่น ๆ ต่อ ตลาดนัดแออัดไปด้วยผู้คน เดินได้ไม่นานผมกับเพื่อนก็พากันมานั่งกินข้าวเปียกกันที่ร้านแห่งหนึ่ง สักพักเพื่อนผู้หญิงคนท้องถิ่นก็โทรมาบอกให้พวกเรากลับไปรอที่พักได้เลย ตกบ่ายสหายหลวงพระบางที่เมื่อเช้ากลับไปบ้านซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณสามสิบกิโลเมตรก็กลับมาหาพวกเรา จากนั้นก็พากันไปงานพระธาตุทราย จัดขึ้นที่บนดอนกลางแม่น้ำโขง พวกเราหกคนประกอบไปด้วย พี่แสงกับแฟน ผมกับเพื่อนคนไทย และสหายหลวงพระบางกับพี่คนไทยอีกคนที่เพิ่งรู้จักนามว่า พี่แม็ก การแต่งกายของพี่แกจะออกแนวติสต์แตก คือกางเกงขาก๊วย ใส่เสื้อปักลายคล้ายเสื้อม่อฮ่อม สร้อยคองาช้าง ผมเกรียน ย้อมสีทองด้านข้างกระหย่อมหนึ่ง อาจดูแปลกในสายตาคนมอง สอบถามได้ความว่ามาอยู่หลวงพระบางได้เดือนกว่าแล้วก่อนหน้านั้นตระเวนเที่ยวในลาวราวห้าเดือน ติดใจความเป็นลาวและธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์ ผมไม่ค่อยได้พูดคุยกับแกมากนักระหว่างเดินไปที่งานพระธาตุทราย ตามถนนหนทางหลายคนออกมาเล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน การเล่นน้ำสงกรานต์ที่นี่ค่อนข้างสุภาพ ไม่มีการใช้ดินสอพองและผู้ชายให้เกียรติผู้หญิง พวกเรานั่งเรือข้ามไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำโขง พอไปถึงที่จัดงานก็เห็นผู้คนมากมาย มีเวทีอยู่สองแห่งตั้งอยู่ภายในเต็นท์กระโจมผ้าใบ หลายคนเต้นกันสุดเหวี่ยง บางครั้งเต้นกันแบบมีสเต็ปจังหวะ สร้างความประทับใจให้แก่ผมอย่างมาก จากนั้นพวกเราเดินไปเที่ยวในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เห็นหลายคนจับกลุ่มดื่มเบียร์กัน ผู้คนเดินสวนกันไปมามากมาย สักพักพวกเราก็ขึ้นไปทำบุญที่วัดเชียงแมนบนเนินเขา ก่อนจะเดินลงมานั่งดื่มเบียร์ลาวกันที่ดอนทรายแล้วไปก่อเจดีย์ทรายรูปพิระมิดซึ่งแปลกแหวกแนวกว่าทุกอัน จากนั้นก็มาแดนซ์กันอยู่สองสามเพลงแล้วก็นั่งเรือกลับที่พัก คืนนั้นพวกเราไปกันที่เธค แห่งหนึ่งซึ่งมีดนตรีเล่นสดและมีฟลอร์สำหรับเต้นรำด้านหน้าเวที เห็นชาวลาวเต้นรำแบบสุภาพ เรียบร้อย สวยงาม แล้วไปต่อที่ดาวฟ้าบันเทิงตามด้วยร้านบะหมี่เป็ดเจ้าเก่าและแวะโยนโบว์ลิ่งก่อนกลับไปนอนที่พัก
เช้าวันรุ่งขึ้นผมแทบไม่มีแรงลุกเพราะนอนไม่เต็มอิ่มตลอดการเดินทางครั้งนี้ สายวันนั้นพี่แสงพาเราไปจองตั๋วเครื่องบิน เราสองคนตกลงกันนั่งเครื่องกลับเพราะไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงกับเส้นทางหฤโหดนั้นอีกแล้ว ราคาตั๋วจากหลวงพระบางสู่เวียงจันทร์ตกอยู่ราว 2500 บาทและถ้าไปลงกรุงเทพก็คงประมาณ 5000 บาท ระหว่างทางไปสำนักงานของสายการบินลาว พี่แสงแวะทักทายนักธุรกิจและผู้กว้างขวางในหลวงพระบางสองสามคนซึ่งนั่งดื่มฉลองกันอยู่ที่บ้านแห่งหนึ่ง ผมได้รู้จักกับนักธุรกิจโลจิสติกคนหนึ่งและลุงอีกคนซึ่งพี่แสงบอกว่ามีเชื้อเจ้า นับเป็นความโชคดีของผมที่ได้พบเจอกับผู้คนเหล่านี้และได้ยกแก้วชนกันก่อนลาจาก เมื่อมาถึงสำนักงานของการบินลาวก็พบว่าปิดแล้ว จึงตกลงกันจะมาอีกครั้งในวันต่อไป บ่ายวันนั้นพวกเราเดินไปดูขบวนแห่นางสังขารหรือนางสงกรานต์กัน สองข้างถนนที่ขบวนแห่ผ่านแออัดไปด้วยผู้คน ผมเดินไปกับพี่แม็กและพลัดหลงกันกับกลุ่มพี่แสง มีสื่อมวลชนจากประเทศเพื่อนบ้านมาทำข่าวและสารคดีกันมากมาย ผมได้เห็นท่านบุนยัง วอละจิต รองประธานาธิบดีลาวซึ่งมาเป็นประธานในงานนี้ด้วย หลังจากนั้นก็ไปนั่งดื่มน้ำผลไม้กับพี่แม็กริมโขงแล้วเหมารถจัมโบ้ไปรับแฟนสาวแกซึ่งเป็นคนลาวสูงที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ห่างจากตัวเมืองมากนัก พี่แม็กเล่าให้ผมฟังว่าแกเป็นคนอุบลฯ อายุราว สามสิบเศษ รุ่นเดียวกับพี่แสง หลังจากที่แม่ตาย พี่แม็กก็เริ่มมีปัญหากับพ่อที่แต่งงานใหม่ ครั้งรุนแรงสุดเกิดขึ้นเมื่อแฟนใหม่ของพ่อเอารูปแม่พี่แม็กมาเผาทิ้ง ด้วยความรักที่มีต่อแม่อย่างท่วมท้น ทำให้พี่แกโกรธอย่างมากเมื่อเห็นเข้าดังนั้น แกผลักแฟนใหม่ของพ่อตกบันได นั่นเป็นจุดแตกหักความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกและยากที่จะประสานกลับดังเดิม แต่จุดหักเหสุดที่ทำให้พี่แกต้องหอบเอาความชอกช้ำใจมาอยู่ที่ลาวเพราะความสัมพันธ์กับแฟนที่เมืองไทยซึ่งอยู่กินด้วยกันและมีลูกแล้ว นั่นเป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่ผมได้รู้จากการมาเที่ยวหลวงพระบาง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกคลางแคลงใจคือการที่พี่แกมาอยู่ที่ลาวนับรวมได้ครึ่งปีแล้วและไม่มีอาชีพอะไรเป็นหลักแหล่งแต่กลับมีเงินทั้งสกุลบาทและดอลลาร์เป็นฟ่อน ทุกครั้งที่ไปเที่ยวด้วยกันพี่แกออกให้หมดทุกอย่างและมักจะพูดย้ำว่า “น้องไม่ต้องออกช่วยพี่หรอกเพราะน้องยังเรียนอยู่ ส่วนพี่ทำงานแล้ว รอให้น้องมีงานก่อนแล้วค่อยกลับมาเลี้ยงพี่” หรือบางครั้งเวลาที่เมาก็จะพูดยานคางว่า “อย่าหลอกพี่แล้วกัน ถ้าน้องไม่กลับมาเลี้ยงพี่คืน พี่จะขอสาปแช่ง! ชีวิตพี่โดนหลอกมาเยอะแล้ว” เจอคนประเภทนี้เข้าทำให้ผมขยาดที่จะสมาคมด้วย ตกเย็นระหว่างรอพี่แสงเพื่อไปตลาดมืดหรือถนนคนเดิน ผมกับเพื่อนคนไทยก็ไปเดินชมร้านรวงต่าง ๆ ใกล้ ๆ ที่พัก พบร้านหนังสือแห่งหนึ่งซึ่งออกแบบได้ลงตัวมาก หน้าร้านมีโต๊ะอยู่สองที่สำหรับนั่งจิบกาแฟและรับประทานอาหาร ชั้นสองเปิดเป็นโรงหนังขนาดเล็ก มีโคมไฟประดับภายในร้าน เห็นแล้วทำให้ผมอยากเป็นเจ้าของร้านแบบนี้ขึ้นมาตงิด ๆ คืนนั้นหลังจากไปตลาดมืดแล้วพวกเราไปร้องคาราโอเกะกันซึ่งอยู่นอกเมืองออกไป ซึ่งต่อมาเพื่อนพี่แสงก็มาแจมด้วย เมื่อถึงคิวผมร้องทุกคนมองผมด้วยความแปลกใจ ผมร้องเพลง “ถ้าบอกฮัก” ของวง Awake เพราะเนื้อร้องเป็นภาษาลาว พี่แม็กถามผมว่าอ่านภาษาลาวเป็นเหรอ ผมก็หลอกพี่แกไปว่าเป็น ความจริงแล้วผมจำเนื้อร้องเพลงนี้ได้ต่างหาก ราว ๆ สามทุ่มครึ่งพวกเราก็ไปผับย่านเดิม ดาวฟ้าบันเทิง คืนนั้นพวกเราพบนักร้องฮิพฮอพลาววง L-Zone ด้วย ผมสังเกตเห็นว่า ที่ลาวและหลวงพระบางแห่งนี้ วัยรุ่นนิยมวงฮิพฮอพไม่แพ้ที่บ้านเรา และยิ่งกว่านั้นก็คือ สาวประเภทสองก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน คืนนั้นพวกเราเต้นกระจาย พี่แม็กเมาจนเพี้ยนต้องส่งกลับไปพร้อมกับแฟนของแก ส่วนพวกเราก็กลับเข้ามาแดนซ์กันต่อจนผับปิด จากนั้นก็จ้างรถจัมโบ้ไปส่งที่ร้านบะหมี่เป็ดเจ้าเดิม แล้วบอกให้รอแปบหนึ่ง บะหมี่ที่ร้านนี้อร่อยจนผมอยากกลับไปกินอีก พอเรากินเสร็จ เดินออกมาจากร้านก็ไม่เห็นสามล้อติดเครื่องคันที่เรานั่งมาแล้ว สุดท้ายก็ต้องอาศัยจักรยานสองเท้าเดินกลับที่พัก

เช้าวันนั้นหลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็นอนต่อด้วยความอ่อนเพลีย พี่แสงมาขอพาสปอร์ตของผมกับค่าตั๋วเครื่องบินซึ่งพี่แกจองไว้เมื่อวานตอนที่พลัดหลงกัน ใกล้เที่ยงพวกเราไปกินอาหารลาวที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง เจ้ามือมื้อนั้นก็ไม่พ้นพี่แม็กที่ไม่ยอมรับเงินจากพวกเรา พี่แสงบอกว่าผมกับเพื่อนคนไทยต้องไปเช็คอินราวสี่โมงเย็นส่วนแฟนพี่แกจะนั่งเครื่องกลับเวียงจันทร์ราวทุ่มหนึ่ง ตกบ่ายก็ไปน้ำตกกวางสี หรือ ตาดกวางซีกัน พอไปถึงที่ทางขึ้นน้ำตก ก็พบว่ารถติดเป็นแพ พวกเราต้องเดินขึ้นไป ใกล้ ๆ กับน้ำตกเป็นสวนสัตว์ซึ่งมีองค์กรเอกชนต่างชาติแห่งหนึ่งรับผิดชอบดูแลอยู่ และใกล้ ๆ กันนั้นเป็นเรือนพักของสมเด็จพระเทพซึ่งคนลาวรักท่านมาก พระเทพได้ไปสร้างโรงเรียนในลาวไว้มากมาย พอไปถึงที่น้ำตกผมตะลึงกับภาพเบื้องหน้า สายน้ำสีมรกตที่พรูพรั่งลงมาจากหน้าผาที่ห้อมล้อมด้วยแมกไม้นานาพันธ์ และเมื่อมองสูงขึ้นไปอีกก็เห็นชั้นน้ำตกไหลลดหลั่นกันอีกหลายชั้นตราตรึงผมอยู่กับที่ พี่แสงเล่าว่าเมื่อก่อนสวยกว่านี้แต่พอดินถล่มลงมาเมื่อหลายปีก่อนทำให้ความงามของน้ำตกหายไปด้วย คนหลวงพระบางเชื่อกันว่าสาเหตุที่หน้าดินพังลงมาคงเป็นอาเพศจากการนำเอาเสือมาเลี้ยงที่สวนสัตว์ เพราะคำว่า กวางสีแปลว่า กวางหนุ่ม กวางเจอเสือเมื่อไหร่ก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา พอกลับลงมาจากน้ำตก พวกเราพบรถติดยาวเหยียดยิ่งกว่าตอนขึ้นมา ตอนขาขึ้นรถเราจอดอยู่เกือบเป็นคันสุดท้าย แต่ตอนนี้มันขึ้นมาอยู่กลางแถวเสียแล้ว เมื่อเอารถออกไม่ได้ พวกเราก็นั่งแกร่วกันอยู่ตรงซุ้มแห่งหนึ่ง พี่แสงบอกว่าถ้าไม่ทันไฟล์ทสี่โมงเย็นก็คงต้องเลื่อนไปเป็นทุ่มหนึ่งแต่คงต้องไปสำรองที่นั่งไว้ ถ้าไม่ได้ผมกับเพื่อนคนไทยคงต้องได้กลับพรุ่งนี้แน่นอน สุดท้ายเราสองคนก็ไม่รีบร้อนเพราะยังไงตกเครื่องแน่นอนคงต้องไปสแตนด์บายรอบทุ่มหนึ่งแทน หลังจากเอารถออกมาได้ พวกเราก็บึ่งรถกลับทันที ระหว่างทางก็แวะกินเหล้าไหกัน ผมรู้สึกมึนเล็กน้อย พอกลับถึงที่พักก็รีบเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าทันทีก่อนกลับพี่คนหนึ่งซึ่งเป็นญาติพี่แสงก็เอาสาหร่ายน้ำจืดที่เรียกว่าเทามาให้ผมกับเพื่อนคนไทยคนละมัด จากนั้นพวกเราก็ไปสนามบินหรือเดินบิน แฟนพี่แสงได้กลับเที่ยวหกโมงครึ่งเพราะเที่ยวนั้นมีที่นั่งว่างอยู่ที่หนึ่งพอดี และโชคดีของผมกับเพื่อนคนไทยที่ได้ตั๋วเที่ยวทุ่มครึ่ง ที่สนามบินพี่แสงแนะนำให้เรารู้จักกับเพื่อนแกคนหนึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นซึ่งเปิดธุรกิจทัวร์อยู่ที่ลาว เครื่องเราดีเลย์เล็กน้อยพอเครื่องเทคออฟออกจากสนามบิน ผมก็รู้สึกใจหายขึ้นมาทันทีที่ต้องจากเมืองเล็ก ๆ ท่ามกลางหุบเขาแห่งนี้ไป ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ผมได้พบเจอและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย มันเหมือนกลับการย้อนเวลากลับไปในอดีต รำวงที่หายไปจากความทรงจำของผมนานแสนนานก็ไหลย้อนกลับมาหาผมอีกครั้ง ผมได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับฝรั่งชาวเบลเยี่ยมคนหนึ่งในค่ำคืนที่เราต่างเมามายกลับมาจากผับ เขาเล่าให้ผมฟังว่าชีวิตเขานั้นเดินทางไปเกือบทุกที่แล้วในโลกกว้างใบนี้ หนึ่งปีที่ใช้ชีวิตไปกับการค้นหาสิ่งใหม่ ๆ รอบโลกได้เติมเต็มชีวิตของเขามากมาย ผมได้ความรู้เชิงธุรกิจกับพี่แสงและใครต่อใครหลายคน และได้ฟังความคิดเห็นจาก Mr. Ito นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นเพื่อนพี่แสง เขาบอกผมว่า ถ้าวันหนึ่งหลวงพระบางเปลี่ยนไปคงไม่ใช่เพราะคนท้องถิ่นแต่เป็นคนต่างถิ่นต่างหาก พอเครื่องเราถึงเวียงจันทร์ แฟนพี่แสงที่กลับมาก่อนแล้วก็มารับพวกเราสองคน คืนนั้นพวกเราได้พบพี่แตอีกครั้งก่อนจะพากันไปเที่ยวผับที่ชื่อ On The Rock ด้วยหวังว่าจะได้พบนักร้องดังแห่งวง Cell ตามที่พี่แม็กได้บอกไว้ว่าจะมาร้องเพลงที่นี่ทุกคืนแต่สุดท้ายเมื่อถามผู้บ่าวผู้สาว (เด็กเสิร์ฟ) ก็ได้คำตอบว่า Cell ไม่ได้มาร้องเพลงที่นั่นนานแล้ว คืนนั้นพักที่บ้านแฟนพี่แสง หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ตอนเช้าแวะซื้อของฝากที่ยังไม่ครบในเวียงจันทร์ก่อนจะกลับเข้าฝั่งไทยโดยญาติแฟนพี่แสงไปส่ง เราสองคนนั่งรถเสริมออกจากหนองคายเวลาห้าโมงเย็นแล้วมาถึงที่วิ’ลัยเวลาตีสามเพราะรถที่ติดหนาแน่นบนถนนมิตรภาพ


คืนนั้นผมไม่อาจข่มตาหลับได้เพราะคิดถึงหลวงพระบางจับใจ มีหนุ่มสาวหลายคนออกเดินทางไกลไปเสาะแสวงหาบางสิ่ง บางอย่างในเมืองต่าง ๆ ของโลก ไม่ว่านิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส ปักกิ่ง โตเกียว หรือ ธรรมศาลาแต่“เมืองในฝัน” ของผมคือ หลวงพระบาง ปลายทางในชีวิตของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง .


เกร็ดเล็กน้อยจากการเดินทางสู่ลาว
  • คนลาวมองคนไทยว่าเรื่องมาก หยิบโหย่ง และขี้ดูถูก
  • คนลาวนิยมอดีตนายกทักษิณเป็นอย่างมากเพราะท่านได้ไปช่วยพัฒนาเศรษฐกิจในลาว
  • คนลาวยังไม่ลืมประวัติศาสตร์ในอดีต เช่น กรณีพระแก้วที่คนลาวเล่าว่าเคยประดิษฐานอยู่ที่หลวงพระ
  • บางคู่กับพระบางก่อนไทยจะมายกเอาไปไว้ที่กรุงเทพ และในสมัยโบราณคนลาวจำนวนมากถูกเกณฑ์มา
    ขุดคลองแสนแสบที่กรุงเทพ ประวัติศาสตร์ส่วนนี้ยังผูกใจเจ็บให้กับพี่น้องบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงจน
    อยากจะลืมเลือน
  • ที่เวียงจันทร์การเล่นน้ำสงกรานต์ที่นั่นโหดมาก มีการเอาน้ำใส่ถุงพลาสติกแล้วปาใส่กัน หลังจากกลับมา แวะที่เวียงจันทร์ผมเห็นตามถนนหนทางเต็มไปด้วยถุงพลาสติก
  • ช่วงสงกรานต์วัยรุ่นลาวนิยมโกรกผมทองและเพลงปาปายาป๊อกฮิตมาก
  • เหนืออื่นใดผมไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าห้องพักเพราะญาติพี่แสงให้พักฟรี



  • บันทึก
    2 พฤษภาคม 2551